11/30/2555

ประธานาธิบดีที่จนที่สุดในโลก



  เมื่อวันที่ 16 พ.ย. บีบีซีเปิดเผยเรื่องราว นาย โฮเซ่ มูจิกา ผู้นำอุรุกวัย วัย 77 ปี ที่ได้ชื่อว่าประธานาธิบดีที่ยากจนที่สุดในโลก ว่าอาศัยอยู่ในกระท่อม และขับรถเก่าคันเล็ก ใช้ชีวิตแตกต่างราวฟ้ากับดินกับผู้นำประเทศต่างๆ
นายมูจิกาปฏิเสธบ้านพักหรูหราที่ทางการจัดให้ โดยอาศัยอยู่ในกระท่อมเล็กๆ ของภรรยา ตั้งอยู่นอกกรุงมอนเตวิเดโอ เมืองหลวง เส้นทางเข้าเป็นถนนลูกรัง โดยสองสามีภรรยาลงมือทำสวนเอง ใช้น้ำจากบ่อ และมีตำรวจ 2 นาย กับสุนัขพิการมี 3 ขา เป็นองครักษ์ นายมูจิกาได้เงินเดือนราว 360,000 บาท แต่นำเงินที่ได้ร้อยละ 90 ไปบริจาคช่วยคนยากจน ทำให้ท่านผู้นำเหลือเงินเดือนราว 23,250 บาท ซึ่งเท่ากับเงินเดือนเฉลี่ยของชาวอุรุกวัย นายมูจิกากล่าวว่า อยู่อย่างนี้มาเกือบทั้งชีวิต อยู่ได้สบายมาก แม้จะถูกเรียกว่าเป็นประธานาธิบดีที่จนที่สุด แต่ไม่รู้สึกว่าจนตรงไหน คนจนคือพวกที่ทำงานเพื่อรักษาชีวิตแสนแพงเอาไว้และอยากได้นั่นนี่ตลอดเวลามากกว่า
“นี่ต่างหากคืออิสรภาพ ถ้าคุณไม่ได้เป็นเจ้าของเยอะ ก็ไม่จำเป็นต้องทำงานทั้งชีวิตเพื่อเป็นทาสสิ่งเหล่านั้น ดังนั้นจึงมีเวลามากพอสำหรับตัวเอง” ผู้นำอุรุกวัยกล่าว โดยบัญชีทรัพย์สินปี 2553 นายมูจิกาเป็นเจ้าของรถยนต์เพียง 2 คัน โดยคันหนึ่งเป็นรถโฟล์กรุ่นบีเทิล ปี 1987 และบ้านไร่หลังดังกล่าว ส่วนปีนี้นายมูจิการวมเอาสินทรัพย์ของภรรยา ได้แก่ ที่ดิน รถไถ และบ้านเข้าไปด้วย ทำให้มีทรัพย์สินเพิ่มเป็น 6 ล้านกว่าบาท แต่ยังน้อยกว่ารองประธานาธิบดีดานิโล แอสโตรี ถึง 2 ใน 3











10 ประเทศที่บางคนอาจจะไม่รู้จักมาก่อน

โลกเรากว้างใหญ่นัก เก็บกักประเทศเล็กประเทศน้อยไว้หลายมุมโลก บ้างมีชื่อเสียงโดดเด่น บ้างถูกซ่อนเร้น จนไม่เป็นที่จดจำ แต่ก็ยังมีคนขุดค้น เสาะหาพาเราไปรู้จัก กับ 10 ประเทศ ที่อาจไม่เคยรู้จักมาก่อน

1. Vanuatu


     Vanuatu มีประชากร 243,300 คน ตั้งอยู่ที่มหาสมุทร South Pacific อาหารประจำชาติคือ ปลา กว่า 90% ของชาว Vanuatu รับประทานและหารายได้จากปลาเป็นหลัก  80% ของประชากรอาศัยอยู่แถบชนบท ปลูกผักสวนครัวกินเอง บริโภคอาหารที่มีตามท้องถิ่น สิ่งเล็กๆ ที่ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวของที่นี่ คือ การดำน้ำ และบรรยากาศอันแสนสงบ


………………………………………………

 

 

2. Nauru



      Nauru เคยเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิโรมัน และมีชื่อเล่นน่ารักว่า “เกาะแสนสุข” มีประชากรเพียง 14,019 คน ตั้งอยู่ที่ Micronesia ในเขต South Pacific ขนาดของ Nauru เล็กมาก จนติดอันดับประเทศที่มีขนาดเล็กที่สุดเป็น อันดับ 3 ของโลก ที่นี่จะมีฤดูมรสุม ระหว่าง พฤศจิกายน – กุมภาพันธ์ เป็นช่วงต้องห้ามสำหรับการเล่นน้ำ แต่จะเป็นฤดูกาลที่คนในประเทศจะช่วยกันเก็บกักน้ำฝนมาใช้ประโยชน์ให้ได้มาก ที่สุดเท่าที่จะทำได้ Nauru เป็นประเทศแห่งการกีฬา และกีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ ฟุตบอล ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงประเทศเล็กๆ แต่ Nauru ก็มีการจัดแข่งขันฟุตบอลประจำปี ซึ่งมี 7 ทีมหลักเข้าแข่งขัน


………………………………………………

 

 

3. Tuvalu



      Tuvalu มีประชากร 12,373 คน มี Queen Elizabeth ที่ 2 เป็นประมุขแห่งรัฐ ครั้งหนึ่งจึงเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Ellice Islands เป็นเกาะโพลีนีเชีย ตั้งอยู่ที่มหาสมุทร Pacific เชื่อมต่อระหว่างฮาวายและออสเตรเลีย Tuvalu ถือเป็นประเทศที่สงบสุข ปราศจากกองกำลังทหาร ไม่ต้องสิ้นเปลืองงบประมาณด้านป้องกันประเทศ Tuvalu มีขนาดเล็กเป็นอันดับ 4 ของโลก
………………………………………………

 

 

 

 

4. Comoros



     Comoros ประกอบด้วยประชากร 798,000 คน เป็นเกาะเชื้อชาติแอฟริกัน ตั้งอยู่ระหว่าง Mozambique และ Madagascar บนคาบสมุทรอินเดีย เกาะ Comoros เคยเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส และปัจจุบันก็มีชาว Comoronian กว่า 3 แสนคน ที่อาศัยอยู่ในประเทศฝรั่งเศส ศาสนาหลักของประเทศนี้คือ อิสลาม 98% ของประชากรเป็นชาวมุสลิม แม้ว่าภาษาหลักที่ใช้จะเป็นภาษาฝรั่งเศส แต่ Comoros ก็มีภาษาประจำชาติ คือ Comoronian หรือ Shikomor

………………………………………………

 

 

 

5. Tokelau



    Tokelau มีประชากร 1,416 คน เป็นดินแดนที่ไม่ปกครองตนเองของนิวซีแลนด์ ซึ่งสร้างจากเกาะ 3 เกาะ เป็นประเทศที่มีขนาดเล็กมากจนไม่จำเป็นต้องมีเมืองหลวง Tokelau เป็นศัพท์โพลีนีเชีย หมายถึง ลมเหนือ มีระบบเศรษฐกิจที่เล็กที่สุดในโลก ซึ่งทำให้ Tokelau ต้องพึ่งพิงการค้าของนิวซีแลนด์ 96% ของประชาชนทั้งประเทศเป็นคริสเตียน และเป็นประชากรหญิงถึง 57%

………………………………………………

 

 

6. Pitcairn Islands



     Pitcairn มีประชากร เพียง 50 คน มีชื่อเรียกประเทศมากมาย ตั้งแต่ Pitcairn, Henderson, Ducieและ Oeno Islands ประเทศแห่งนี้เกิดจากการก่อร่างสร้างตัวของแก่งภูเขาไฟในแถบ มหาสมุทร Pacific ทางตอนใต้ ภาษาท้องถิ่นใช้ทั้งภาษาอังกฤษและ Tahitian โบสถ์ที่ Pitcairn ถูกสั่งปิดเนื่องจากมีคนเข้าประจำแค่ 8 คน มีสถานบันเทิงเพียง 2 แห่ง และมีกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ เต้นรำ และดื่มแอลกอฮอล์ในที่สาธารณะ

………………………………………………

 

 

7. Nagorno-Karabakh Republic



     Nagorno-Karabakh Republic ประกอบด้วยพลเมือง 110,000 คน เป็นสาธารณรัฐอิสระที่ตั้งอยู่ระหว่าง Armenia และ Azerbaijan สงคราม Nagorno-Karabakh ในช่วงปี ค.ศ. 1991-1994 ได้ทิ้งร่องรอยอาณาเขตเหมืองแร่ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งสหภาพโซเวียตเอาไว้  95% ของประชากรที่นี่เป็นชาว Armenian ที่เหลือเป็นชาว Greek และ Kurd

………………………………………………

 

 

8. Palau



      Palau หรือเรียกอีกชื่อว่า Belau มี ประชากรอาศัยอยู่ 20,000 คน ตั้งตนเป็นอิสระในปี ค.ศ. 1994 เป็นประเทศแห่งเกาะ อยู่บนคาบสมุทรแปซิฟิก ถัดจากฝั่งตะวันออกของฟิลิปปินส์ ประมาณ 500 ไมล์ Palau เกิดจากคณะมนตรีภาวะทรัสตีแห่งสหประชาชาติ และตั้งตนเป็นอิสระในยุค 90 ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่เกิดช้าสุดในโลก เมื่อก่อนจะถูกเรียกว่า Carolines หรือ Pelew อาณาเขตแห่งนี้ประกอบด้วยเกาะเล็กๆ กว่า 200 เกาะ

………………………………………………

 

 

9. São Tomé and Príncipe



    São Tomé and Príncipe มีพลเมือง 163,000 คน ชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐประชาธิปไตย São Tomé and Príncipe เป็นชนชาติแห่งเกาะ ใช้ภาษาโปรตุเกสเป็นหลัก ตั้งอยู่บนอ่าว Guinea ค่อนมาทางตะวันตกของเส้นศูนย์สูตรจากชายฝั่งแอฟริกา นักสำรวจชาวโปรตุเกสตั้งชื่อเกาะว่า São Tomé and Príncipe เนื่องจากค้นพบเกาะแห่งนี้ในวันเฉลิมฉลองของ Saint Thomas เกาะนี้ถือเป็นประเทศที่เล็กที่สุดในโลก โดยที่ไม่เคยเป็นอาณานิมคมของประเทศใดมาก่อน
………………………………………………

 

 

10. Marshall Islands



     Marshall มีประชากร 62,000 คน ประกอบด้วยเกาะรูปวงแหวนและเกาะน้อยใหญ่ใจกลางมหาสมุทรแปซิฟิก ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของ Nauru และทางตอนใต้ของ Wake Island อาณานิคมของสหรัฐอเมริกา ประเทศ Marshall มีเนื้อที่เพียง 70 ตารางไมล์ และเป็นส่วนหนึ่งของอาณานิคมแห่งหมู่เกาะแปซิฟิก (ปกครองโดยอเมริกา) ด้วยความที่มี เกาะมากมาย และเกาะรูปวงแหวนที่ใหญ่ที่สุดอย่าง Kwajalein รวมถึงความอุดมสมบูรณ์ของแนวหิน ทำให้ Marshall ตั้งตนเป็นอิสระในปี ค.ศ. 1986

Chernobile

  

 อุบัติภัยเชอร์โนบิล (ยูเครน: Чорнобильська катастрофа, Čornobyľśka katastrofa; อังกฤษ: Chernobyl disaster) เป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1986 ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิล ตั้งอยู่ที่นิคมเชอร์โนบิล ริมฝั่งแม่น้ำนีเปอร์ ใกล้เมืองพริเพียต จังหวัดเคียฟ ทางตอนเหนือของยูเครน ใกล้ชายแดนเบลารุส (ในขณะนั้นยูเครนและเบลารุสยังเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต) อุบัติเหตุที่เชอร์โนบิลนี้เป็นอุบัติเหตุที่เกิดกับโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่ร้ายแรงที่สุดในปัจจุบัน
อุบัติเหตุเกิดขึ้นเมื่อวิศวกรได้ทำการทดสอบการทำงานของระบบหล่อเย็น และระบบทำความเย็นฉุกเฉินของแกนปฏิกรณ์นิวเคลียร์ แต่การทดสอบระบบได้ล่าช้ากว่ากำหนดจนต้องทำการทดสอบโดยวิศวกรกะกลางคืน ได้เกิดแรงดันไอน้ำสูงขึ้นอย่างฉับพลัน แต่ระบบตัดการทำงานอัตโนมัติไม่ทำงาน ส่งผลให้เกิดความร้อนสูงขึ้นจนทำให้แกนปฏิกรณ์นิวเคลียร์หมายเลข 4 หลอมละลาย และเกิดระเบิดขึ้น ผลจากการระเบิดทำให้เกิดขี้เถ้าปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีพวยพุ่งขึ้นสู่บรรยากาศ ปกคลุมทางตะวันตกของสหภาพโซเวียต ยุโรปตะวันออก ยุโรปตะวันตก ยุโรปเหนือ ทางการยูเครน เบลารุส และรัสเซีย ต้องอพยพประชากรมากกว่า 336,000 คน ออกจากพื้นที่อย่างฉุกเฉิน
อุบัติเหตุครั้งนี้ได้รับการจัดความรุนแรงไว้ที่ระดับ 7 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตามมาตราระหว่างประเทศว่าด้วยเหตุการณ์ทางนิวเคลียร์
ในปี ค.ศ. 2005 สำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ และองค์การอนามัยโลก  ได้ประมาณการว่ามีผู้ได้รับผลกระทบจากการระเบิดโดยตรงมากกว่า 600,000 คน มีผู้เสียชีวิตทันทีหลังการเกิดระเบิด 56 คน แต่ผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งจากการสัมผัสกัมมันตรังสีอาจสูงถึง 4,000 คน 
 
  

สุขภาพของพนักงานและคนในท้องถิ่น

หลังเกิดเหตุมีผู้ป่วย acute radiation sickness 237 คน ในจำนวนนี้ 31 คนเสียชีวิตในช่วงสามเดือนแรก ส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยและดับเพลิงที่พยายามควบคุมเหตุการณ์โดยไม่ทราบถึงอันตรายของการรับรังสีและควัน ทั้งนี้รายงาน ค.ศ. 2006 ขององค์การอนามัยโลกในที่ประชุมผู้เชี่ยวชาญ Chernobyl Forum ว่าด้วยผู้ปฏิบัติงาน 237 คนที่ป่วย ARS รายงานว่ามีผู้เสียชีวิตจาก ARS จำนวน 28 คนในช่วง 2-3 เดือนแรก ไม่มีรายงานการเสียชีวิตจาก ARS ของประชากรทั่วไป ในบรรดาผู้ปฏิบัติงานกู้ภัยชาวรัสเซีย 72,000 คนที่อยู่ในกลุ่มศึกษา มีการเสียชีวิตจากเหตุที่ไม่ใช่มะเร็ง 216 รายซึ่งเกี่ยวข้องกับอุบัติภัยในช่วง ค.ศ. 1991-1998 ระยะแฝงของการเกิดเนื้องอกที่เกิดจากการได้รับรังสีมากเกินไปอยู่ที่ 10 ปี ดังนั้นในช่วงเวลาที่ WHO รายงานผลการศึกษานี้ พบว่าอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งไม่ต่างจากประชากรปกติ

Scengen Area

History

labelled map of Europe showing Schengen Area

 Schengen Area (EU) 
 Schengen Area (non-EU) 
 Set to implement later 
 EU member states outside Schengen 
This is a clickable map
The Schengen Area came in existence on 26 March 1995 when the Schengen Agreement along with its implementing convention was implemented by seven EU member states. During the negotiations which led up to the signing of the Amsterdam Treaty in 1997, EU leaders agreed to bring the Schengen Agreement, Convention and the rules created under them into the main body of EU law, the acquis communautaire; thus bringing a project which had developed outside the framework of the EU into the EU mainstream. This duly happened with the entrance into force of the Amsterdam Treaty in 1999.
There were concerns over the borders of Austria with former communist countries to the east and south, and so Austrian entry was delayed until procedures could be further evaluated and placed in operation. In the case of Italy's delayed entry, there were concerns over securing the very large coastline of the country and the multitude of immigrants from North Africa, Asia and the Balkans across the nearby seas. Both were admitted in 1997, over a year and a half after the originating countries. 

[edit]Members

The Schengen Area currently consists of twenty-six states, all but four of which are members of the European Union (EU). Two of the non-EU members, Iceland and Norway, are part of the Nordic Passport Union and are officially classified as states associated with the Schengen activities of the EU. The third, Switzerland, was subsequently allowed to participate in the same manner in 2008. The fourth, Liechtenstein, joined on 19 December 2011, becoming the newest member of the Schengen Area.De facto, the Schengen Area also includes three European micro-states, Monaco, San Marino and the Vatican City, that maintain open or semi-open borders with Schengen countries.Two EU members—Ireland and the United Kingdom—negotiated opt-outs from Schengen and continue to operate systematic border controls with other EU member states.
Before fully implementing the Schengen rules, each state needs to have its preparedness assessed in four areas: air borders, visas, police cooperation, and personal data protection. This evaluation process involves a questionnaire and visits by EU experts to selected institutions and workplaces in the country under assessment.
FlagStateArea
(km²)
Population[8]Signed or
opted in
Date of first
implementation
AustriaAustria83,8718,414,63828 April 19951 December 1997
BelgiumBelgium30,52811,007,02014 June 198526 March 1995
Czech RepublicCzech Republic78,86610,535,8111 May 200421 December 2007b
DenmarkDenmark
       (excluding Greenlandd and the Faroe Islandsd)
43,0945,564,21919 December 199625 March 2001
EstoniaEstonia45,2261,340,1941 May 200421 December 2007b
FinlandFinland338,1455,391,70019 December 199625 March 2001
FranceFrance
       (excluding overseas departments and territories)
674,84365,821,88514 June 198526 March 1995
GermanyGermany357,05081,799,60014 June 198526 March 1995c
GreeceGreece131,99010,787,6906 November 199226 March 2000
HungaryHungary93,0309,979,0001 May 200421 December 2007b
IcelandIcelanda103,000318,45219 December 199625 March 2001
ItalyItaly301,31860,681,51427 November 199026 October 1997
LatviaLatvia64,5892,245,3571 May 200421 December 2007b
LiechtensteinLiechtensteina16036,01028 February 200819 December 2011
LithuaniaLithuania65,3033,207,0601 May 200421 December 2007b
LuxembourgLuxembourg2,586511,84014 June 198526 March 1995
MaltaMalta316417,6081 May 200421 December 2007b
NetherlandsNetherlands
       (excluding Aruba, Curaçao, Sint Maarten and the Caribbean Netherlands)
41,52616,703,70014 June 198526 March 1995
NorwayNorwaya
       (excluding Svalbarde)
385,1554,993,30019 December 199625 March 2001
PolandPoland312,68338,186,8601 May 200421 December 2007b
PortugalPortugal92,39110,647,76325 June 199226 March 1995
SlovakiaSlovakia49,0375,440,0781 May 200421 December 2007b
SloveniaSlovenia20,2732,048,9511 May 200421 December 2007b
SpainSpain
       (excluding Ceuta and Melillaf)
506,03046,030,10925 June 199226 March 1995
SwedenSweden449,9649,415,57019 December 199625 March 2001
SwitzerlandSwitzerlanda41,2857,866,50026 October 200412 December 2008
European UnionSchengen Area4,312,259419,392,42914 June 198526 March 1995