12/30/2555

10 ภาพถ่ายโลกตะลึง


สำนักข่าวต่างประเทศ : ได้ประมวลภาพถ่ายเหตุการณ์สำคัญทั่วโลกตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ในหัวข้อ ’ 10 ภาพถ่ายโลกตะลึง  ซึ่งมีภาพเหตุการณ์สงครามประชาชนจากประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2519 ร่วมติดอยู่ด้วย โดยทั้ง 10 ภาพมีดังนี้ ….. ตื่นเต้น
ข้อมูล teen.mthai.com อ้างอิง  สำนักข่าวต่างประเทศ
ภาพถ่ายโลกตะลึง
ภาพถ่ายโลกตะลึง : Tragedy of Omayra Sanchez (Frank Fourier)
โศกนาฏกรรมแห่งโอเมย์รา ซานเชส ภาพถ่ายของ แฟรงค์ ฟาว์เรอร์ ภาพเด็กติดอยู่ซากดินโคลนถล่ม หลังภูเขาไฟระเบิดที่โคลัมเบีย ปี 1985
ภาพถ่ายโลกตะลึง
ภาพถ่ายโลกตะลึง : Operation Lion Heart (Deanne Fitzmaurice)
หัวใจยังแข็งแกร่ง ภาพถ่ายของ ดีนนี ฟิทซมัวไรซ์ ภาพของเด็กชายชาวอิรักที่หัวใจยังแข็งแกร่ง แม้ได้รับผลกระทบจากสงครามที่โหดร้าย
ภาพถ่ายโลกตะลึง
ภาพถ่ายโลกตะลึง : Bhopal Gas Tragedy 1984 (Pablo Bartholomew)
โศกนาฏกรรมแก๊สพิษ ภาพถ่ายของ พาโบล บาร์ทโธโลมิว แก๊สพิษในอุตสาหกรรมระเบิดและฝังร่างผู้เสียชีวิตไว้กว่า 15,000 คน ในอินเดีย
ภาพถ่ายโลกตะลึง
ภาพถ่ายโลกตะลึง : After the Tsunami (Arko Datta) \
หลังคลื่นสึนามิ ภาพถ่ายของ อาร์โก ดัธต้า ภาพหญิงสาวอินเดีย หมดอาลัยตายอยาก ภายในจากคลื่นยักษ์สึนามิถล่มปี 2004
ภาพถ่ายโลกตะลึง
ภาพถ่ายโลกตะลึง : World Trade Center 9/11 (Steve Ludlum)
11 กันยายน ภาพถ่ายของ สตีฟ ลัธลัม ในเหตุก่อการร้ายตึกเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ นครนิวยอร์ก ปี 2001
ภาพถ่ายโลกตะลึง
ภาพถ่ายโลกตะลึง : The Power of One (Oded Balilty)
พลังของหญิงสาว ภาพถ่ายของ โอเด็ต บัลอิลตี้ ที่ถ่ายภาพหญิงสาวพยายามสกัดกั้นตำรวจโดยตัวคนเดียวในอิสราเอล
ภาพถ่ายโลกตะลึง
ภาพถ่ายโลกตะลึง : After the Storm (Patrick Farrell)
ชีวิตหลังพายุ ภาพถ่ายของ แพทริค ฟาร์เรล ภายหลังพายุเฮอร์ริเคนฮานน่าพัดถล่มเฮติ
ภาพถ่ายโลกตะลึง
ภาพถ่ายโลกตะลึง : Thailand Massacre (Neil Ulevich)
สังหารหมู่คนไทย ภาพถ่ายของ ไนล์ อูเลวิช ในเหตุสงครามประชาชน 6 ตุลาคม 2519 ที่ท้องสนามหลวง นักศึกษาชายถูกแขวนคอใต้ต้นมะขาม
ภาพถ่ายโลกตะลึง
ภาพถ่ายโลกตะลึง : War Underfoot (Carolyn Cole)
สงครามเกลื่อนถนน ภาพถ่ายของ แคโรไลน์ โคลล์ ในเหตุสงครามกลางเมืองของไลบีเรีย ทำมีกระสุนปืนเกลื่อนถนน
ภาพถ่ายโลกตะลึง
ภาพถ่ายโลกตะลึง : Kosovo Refugees (Carol Guzy)
ผู้ลี้ภัยในโคโซโว ภาพถ่ายของ แคโรว์ กุสซี่ ในเหตุการณ์ลี้ภัยของชาวโคโซโว ที่อุ้มเด็ก 2 ขวบลอดผ่านรั้วหนาม
ที่มา http://teen.mthai.com/variety/54011.html

12/11/2555

77 เรื่องของในหลวงที่คุณอาจไม่เคยรู้


เมื่อทรงพระเยาว์
           1.ทรงพระราชสมภพเวลา 08.45น.
           2.นายแพทย์ผู้ทำคลอดชื่อ ดับลิว สจ๊วต วิตมอร์ ทรงมีน้ำหนักแรกประสูติ 6 ปอนด์
           3.พระนาม "ภูมิพล" ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7
           4.พระยศเมื่อแรกประสูติ คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ภูมิพลอดุลยเดช
           5.ทรงมีชื่อเล่น ว่า เล็ก หรือ พระองค์เล็ก
           6. ทรงเคยเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนมาแตร์เดอี เพราะช่วงพระชนมายุ 5 พรรษา ทรงเคยเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ 1 ปี
มีพระนามในใบลงทะเบียนว่า "H.H Bhummibol Mahidol"หมายเลขประจำตัว 449
           7.ทรงเรียกสมเด็จพระราชชนนีหรือสมเด็จย่า อย่างธรรมดาว่า "แม่"
           8.สมัยทรงพระเยาว์ ทรงได้ค่าขนม อาทิตย์ละครั้ง
           9.แม้จะได้เงินค่าขนมทุกอาทิตย์ แต่ยังทรงรับจ้างเก็บผักผลไม้ไปขาย เมื่อได้เงินมาก็นำไปซื้อเมล็ดผักมาปลูกเพิ่ม  
          10. สมัยพระเยาว์ทรงเลี้ยงสัตว์หลายชนิดทั้งสุนัข กระต่าย ไก่ นกขุนทอง ลิง แม้แต่งูก็เคยเลี้ยง ครั้งหนึ่งงูตายไปก็มีพิธีฝังศพอย่างใหญ่โต
          11.สุนัขตัวแรกที่ทรงเลี้ยงสมัยทรงพระเยาว์เป็นสุนัขไทย ทรงตั้งชื่อให้ว่า"บ๊อบบี้"
          12. ทรงฉลองพระเนตร(แว่นสายตา)ตั้งแต่พระชันษายังไม่เต็ม 10 ขวบ เพราะครูประจำชั้นสังเกตเห็นว่าเวลาจะทรงจด อะไรจากกระดานดำพระองค์ต้องลุก ขึ้นบ่อยๆ
          13.สมัยพระเยาว์ทรงซนบ้าง หากสมเด็จย่าจะลงโทษ จะเจรจากันก่อนว่า โทษนี้ควรตีกี่ที ในหลวงจะทรงต่อรองว่า 3 ทีมากเกินไป 2 ทีพอแล้ว
          14.ระหว่างประทับอยู่ สวิตเซอร์แลนด์นั้นระหว่างพี่น้องจะทรงใช้ภาษาฝรั่งเศส แต่จะใช้ภาษาไทยกับสมเด็จย่าเสมอ
          15. ทรงได้รับการอบรมให้รู้จัก "การให้" โดยสมเด็จย่าจะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่า "กระป๋องคนจน" เอาไว้
หากทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูก "เก็บภาษี" หยอดใส่กระปุกนี้ 10% ทุกสิ้นเดือนสมเด็จย่าจะเรียกประชุม เพื่อถามว่าจะเอาเงินในกระป๋องนี้ไปทำ อะไร เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน
          16. ครั้งหนึ่ง ในหลวงกราบทูลสมเด็จย่าว่าอยากได้รถจักรยาน เพราะเพื่อนคนอื่นๆ เขามีจักรยานกัน สมเด็จย่าก็ตอบว่า "ลูกอยากได้จักรยาน ลูกก็ต้องเก็บค่าขนมไว้สิ หยอดกระป๋องวันละเหรียญ ได้มาก ค่อยเอาไปซื้อจักรยาน"
          17.กล้องถ่ายรูปกล้องแรกของในหลวง คือ Coconet Midget ทรงซื้อด้วยเงินสะสมส่วนพระองค์ เมื่อพระชนม์เพียง 8 พรรษา
          18.ช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทรงปั่นจักรยานไปโรงเรียนแทนรถพระที่นั่ง
          19. พระอัจฉริยภาพของในหลวง มีพื้นฐานมาจาก "การเล่น" สมัยทรงพระเยาว์ เพราะหากอยากได้ของเล่นอะไรต้องทรงเก็บ สตางค์ซื้อเอง หรือ ประดิษฐ์เอง ทรงเคยหุ้นค่าขนมกับพระเชษฐา ซื้อชิ้นส่วนวิทยุทีละชิ้นๆ แล้วเอามาประกอบเองเป็นวิทยุ แล้วแบ่งกันฟัง
          20. สมเด็จย่าทรงสอนให้ในหลวงรู้จักการใช้แผนที่และภูมิประเทศของไทยโดยโปรดเกล้าฯให้โรงเรียนเพาะช่างทำแผนที่ประเทศไทย
เป็นรูปตัวต่อ เลื่อยเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆเพื่อให้ทรงเล่นเป็นจิ๊กซอว์
          21. ในหลวงทรงเครื่องดนตรีได้หลายชนิด เช่น เปียโน กีตาร์ แซกโซโฟน แต่รู้หรือไม่ว่าเครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ทรงหัดเล่นคือ ***บเพลง (แอกคอร์เดียน)
          22. ทรงสนพระทัยดนตรีอย่างจริงจังราวพระชนม์ 14-15 พรรษา ทรงซื้อแซกโซโฟนมือสองราคา 300 ฟรังก์มาหัดเล่น โดยใช้เงินสะสม ส่วนพระองค์ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งสมเด็จย่าออกให้
          23.ครูสอนดนตรีให้ในหลวง ชื่อ เวย์เบรชท์ เป็นชาว อัลซาส
          24. ทรงพระราชนิพนธ์พลงครั้งแรก เมื่อพระชนมพรรษา 18 พรรษา เพลงพระราชนิพนธ์แรกคือ "แสงเทียน" จนถึงปัจจุบันพระราชนิพนธ์ เพลงไว้ทั้งหมด 48 เพลง
          25. ทรงพระราชนิพนธ์เพลงได้ทุกแห่ง บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องดนตรีช่วย อย่างครั้งหนึ่งทรงเกิดแรงบันดาลพระทัย ทรงฉวยซอง จดหมายตีเส้น 5 เส้นแล้วเขียนโน้ตทำนองเพลงขึ้นเดี๋ยวนั้น กลายเป็นเพลง "เราสู้"
          26. รู้ไหม...? ทรงมีพระอุปนิสัยสนใจการถ่ายภาพเหมือนใคร : เหมือนสมเด็จย่า และ รัชกาลที่ 5
          27. นอกจากทรงโปรดการถ่ายภาพแล้ว ยังสนพระทัยการถ่ายภาพยนตร์ด้วย ทรงเคยนำภาพยนตร์ส่วนพระองค์ออกฉายแล้วนำเงินรายได้ มาสร้างอาคารสภากาชาดไทย ที่ รพ.จุฬาฯ โรงพยาบาลภูมิพล รวมทั้งใช้ในโครงการโรคโปลิโอและโรคเรื้อนด้วย
          28. ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง "นายอินทร์" และ "ติโต" ทรงเขียนด้วยลายพระหัตถ์ แล้วให้เสมียนพิมพ์ แต่ "พระมหาชนก" ทรงพิมพ์ลง ในเครื่องคอมพิวเตอร์
          29. ทรงเล่นกีฬาได้หลายชนิด แต่กีฬาที่ทรงโปรดเป็นพิเศษได้แก่ แบดมินตัน สกี และ เรือใบ ทรงเคยได้เหรียญทองจากการแข่งขันเรือใบ ประเภทโอเค ในกีฬาแหลมทอง(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น"กีฬาซีเกมส์") ครั้งที่ 4 ปี พ.ศ.2510
          30. ครั้งหนึ่ง ทรงเรือใบออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นกลับฝั่ง และตรัสกับผู้ที่คอยมาเฝ้าฯว่า เสด็จฯกลับเข้าฝั่งเพราะเรือแล่นไปโดนทุ่นเข้า ซึ่งในกติกาการแข่งเรือใบถือว่าฟาวส์ ทั้งๆที่ไม่มีใครเห็น แสดงให้เห็นว่าทรงยึดกติกามากแค่ไหน
          31. ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลกที่ได้รับสิทธิบัตรผลงานประดิษฐ์ คิดค้นเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่มลอย หรือ "กังหันชัยพัฒนา" เมื่อปี 2536
          33. ทรงเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาเชื้อเพลิงน้ำมันจากวัสดุการเกษตรเพื่อใช้เป็น พลังงานทดแทน เช่น แก๊สโซฮอล์,ดีโซฮอลล์ และ น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว
          34. องค์การสหประชาชาติ ได้ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ แด่ในหลวงเมื่อ วันที่ 26 พฤษภาคม 2549
เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณพระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของ ประชาชนชาวไทย โดยมี นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ เดินทางมาถวายรางวัลด้วยตนเอง


เรื่องส่วนพระองค์
          35. พระนามเต็มของในหลวง : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรา มหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
          36. รักแรกพบ ของในหลวงและหม่อมสิริกิติ์เกิดขึ้นที่สวิสเซอร์แลนด์ แต่เหตุการณ์ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถฯทรงให้สัมภาษณ์ว่า "น่าจะเป็น เกลียดแรกพบ มากกว่ารักแรกพบ เนื่องเพราะรับสั่งว่าจะเสด็จถึงเวลาบ่าย 4 โมง แต่จริงๆแล้วเสด็จมาถึงหนึ่งทุ่ม ช้ากว่าเวลานัดหมายตั้งสามชั่วโมง
          37. ทรงหมั้นกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2492 และจัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ที่วังสระปทุม เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493 โดยทรงจดทะเบียนสมรสเหมือนคนทั่วไป ข้อความในสมุดทะเบียนก็เหมือนคนทั่วไปทุกอย่าง ปิดอากรแสตมป์ 10 สตางค์ เสียค่าธรรมเนียม 10 บาท หลังอภิเษกสมรส ทรง"ฮันนีมูน"ที่หัวหิน
          38. ทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2499 และประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา 15 วัน
          39. ระหว่างทรงผนวช พระอุปัชฌาย์และพระพี่เลี้ยง คือ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
          40. ของใช้ส่วนพระองค์นั้นไม่จำเป็นต้องแพงหรือต้องแบรนด์เนม ดังนั้นการถวายของให้ในหลวงจึงไม่จำเป็นจะต้องเป็นของแพง อะไรที่มาจาก น้ำใจจะทรงใช้ทั้งนั้น
         41. เครื่องประดับ : ในหลวงไม่ทรงโปรดสวมเครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อยคอ ของมีค่าต่างๆ ยกเว้น นาฬิกา
         42. พระเกศาที่ทรงตัดแล้ว : ส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่ธงชัยเฉลิมพลเพื่อมอบแก่ทหาร อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้สร้างวัตถุมงคล เพื่อมอบแก่ราษฎรที่ทำคุณงามความดี ีแก่ประเทศชาติ
         43. หลอดยาสีพระทนต์ ทรงใช้จนแบนราบเรียบคล้ายแผ่นกระดาษ โดยเฉพาะบริเวณคอหลอด ยังปรากฏรอยบุ๋มลึกลงไปจนถึงเกลียวคอหลอด ซึ่งเป็นผลจากการใช้ด้ามแปรงสีพระทนต์ช่วยรีด และ กดเป็นรอยบุ๋ม
         44. วันที่ในหลวงเสียใจที่สุด คือวันที่สมเด็จย่าเสด็จสวรรคต มีหนังสือเล่าไว้ว่า วันนั้นในหลวงไปเฝ้า แม่ถึงตีสี่ตีห้า พอแม่หลับจึงเสด็จฯกลับ เมื่อถึงวัง ทางโรงพยาบาลก็โทรศัพท์มาแจ้งว่า สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์แล้ว ในหลวงรีบกลับไปที่โรงพยาบาล เห็นแม่นอนหลับตาอยุ่บนเตียง ในหลวงคุกเข่าเข้าไปกราบที่อกแม่
ซบหน้านิ่งอยู่นาน ค่อยๆเงยพระพักตร์ขึ้นมาน้ำพระเนตรไหลนอง
  

งานของในหลวง
         45. โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จนถึงปัจจุบนมีจำนวนกว่า 3,000 โครงการ
         46. ทุกครั้งที่เสด็จฯไปยังสถานต่างๆจะทรงมีสิ่งของประจำพระองค์อยู่ 3 สิ่ง คือ แผนที่ซึ่งทรงทำขึ้นเอง(ตัดต่อเอง ปะกาวเอง) กล้องถ่ายรูป และดินสอ ที่มียางลบ
         47.ในหลวงทรงงานด้วยพระองค์เองทุกอย่างแม้กระทั่งการโรเนียวกระดาษที่จะนำมาให้ข้าราชการที่เข้าเฝ้าฯถวายงาน
         48. เก็บร่ม : ครั้งหนึ่งเมื่อในหลวงเสด็จฯเยี่ยมโครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง ปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างหนักข้าราชการ และราษฎรที่เข้าแถวรอรับเปียกฝนกันทุกคน เมื่อทรงเห็นดังนั้น จึงมีรับสั่งให้องครักษ์เก็บร่ม แล้วทรงเยี่ยมข้าราชการและราษฎรทั้งกลางสายฝน
         49. ทรงศึกษาลักษณะอากาศทุกวัน โดยใช้ข้อมูลที่กรมอุตุนิยมวิทยานำขึ้นทูลเกล้าฯ ร่วมกับข้อมูลจากต่างประเทศที่หามาเอง เพื่อป้องกันภัยธรรมชาติ ที่อาจก่อความเสียหายแก่ประชาชน
        50. โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา เริ่มต้นขึ้นจากเงินส่วนพระองค์จำนวน 32,866.73บาท ซึ่งได้จากการขายหนังสือดนตรีที่พระเจนดุริยางค์ จากการขายนมวัว ็ค่อยๆเติบโตเป็นโครงการพัฒนามาจนเป็นอย่างที่เราเห็นกันทุกวันนี้
          51. เวลามีพระราชอาคันตุกะเสด็จมาเยี่ยมชมโครงการฯสวนจิตรลดา ในหลวงจะเสด็จฯลงมาอธิบายด้วยพระองค์เอง เนื่องจากทรงรู้ทุกรายละเอียด
          52. ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามว่า เคยทรงเหนื่อยทรงท้อบ้างหรือไม่ ในหลวงตอบว่า "ความจริงมันน่าท้อถอยอยู่หรอก
บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ
          53. ทรงนึกถึงแต่ประชาชน แม้กระทั่งวันที่พระองค์ทรงกำลังจะเข้าห้องผ่าตัดกระดูกสันหลังในอีก 5 ชั่วโมง (20 กรกฎาคม 2549) ยังทรงรับสั่งให้
ข้าราชบริพารไปติดตั้งคอมพิวเตอร์เดินสายออนไลน์ไว้ เพราะกำลังมีพายุเข้าประเทศ พระองค์จะได้มอนิเตอร์ เผื่อน้ำท่วมจะได้ช่วยเหลือทัน

ของทรงโปรด
          54. อาหารทรงโปรด : โปรดผัดผักทุกชนิด เช่น ผัดคะน้า ผัดถั่วงอก ผัดถั่วลันเตา
          55. ผักที่ไม่โปรด : ผักชี ต้นหอม และตังฉ่าย
          56. ทรงเสวย ข้าวกล้อง เป็นพระกระยาหารหลัก
          57. ไม่เสวยปลานิล เพราะทรงเป็นผู้เลี้ยงปลานิลคนแรกในประเทศไทย โดยใช้สระว่ายน้ำในพระตำหนักสวนจิตรลดาเป็นบ่อเลี้ยง
แล้วแจกจ่ายพันธุ์ไปให้กรมประมง
         58. เครื่องดื่มทรงโปรด : โปรดโอวัลตินเป็นพิเศษ เคยเสวยวันหนึ่งหลายครั้ง
         59. ทีวีช่องโปรด ทรงโปรดข่าวช่องฝรั่งเศส ของยูบีซี เพื่อทรงรับฟังข่าวสารจากทั่วโลก
         60. ทรงฟัง จส.100 และเคยโทรศัพท์ไปรายงานสถานการณ์ต่างๆใน กทม.ไปที ่ จส.100ด้วย โดยใช้พระนามแฝง
         61. หนังสือที่ในหลวงอ่าน : ตอนเช้าตื่นบรรทม ในหลวงจะเปิดดูหนังสือพิมพ์รายวันทั้งไทยและเทศ ทุกฉบับ และก่อนเข้านอนจะทรงอ่าน
นิตยสารไทม์ส นิวสวีก เอเชียวีก ฯลฯ ที่มีข่าวทั่วทุกมุมโลก
         62. ร้านตัดเสื้อของในหลวง คือ ร้านยูไลย เจ้าของชื่อ ยูไลย ลาภประเสริฐ ถวายงานตัดเสื้อในหลวงมาตั้งแต่ปี 2501 เมื่อนายยูไลยเสียชีวิต ก็มี ลูกชาย
นายสมภพ ลาภประเสริฐ มาถวายงานต่อ จนถึงตอนนี้ก็เกือบ 50 ปีแล้ว
         63. ห้องทรงงานของในหลวง อยู่ใกล้ห้องบรรทม บนชั้น 8 ของตำหนักจิตรลดาฯเป็นห้องเล็กๆ ขนาด 3x4 เมตร ภายในห้องมีวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์
โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องพยากรณ์ แผนที่ ฯลฯ
         64. สุนัขทรงเลี้ยง นอกจากคุณทองแดง สุวรรณชาด สุนัขประจำรัชกาล ที่ปัจจุบันอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล แล้ว ยังมีสุนัขทรงเลี้ยงอีก 33 ตัว

 



 รู้หรือไม่ ?
         65. ในหลวง เกิดจากคำที่ชาวเหนือใช้เรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า "นายหลวง" ภายหลังจึงเปลี่ยนเป็น ในหลวง
         66. ทรงเชี่ยวชาญถึง 6 ภาษา คือ ไทย ละติน ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และ สเปน
         67. อาชีพของในหลวง เมื่อผู้แทนพระองค์ไปติดต่อเอกสารสำคัญใดๆทรงโปรดให้กรอกในช่อง อาชีพ ของพระองค์ว่า "ทำราชการ"
         68. ในหลวงทรงพระเนตรเทียมข้างขวา เป็นผลจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เมืองโลซานน์ สวิตเซอร์แลนด์ รถพระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง
ทำให้เศษกระจกเข้าพระเนตรข้างขวา ตอนนั้นมีอายุเพียง 20 พรรษา และทรงใช้พระเนตรข้างซ้ายข้างเดียว ในการทำงานบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชน
ชาวไทยมาตลอดกว่า 60 ปี
         69. ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์อเมริกันลงข่าวลือเกี่ยวกับในหลวงว่า แซกโซโฟนที่ทรงอยู่เป็นประจำนั้นเป็นแซกโซโฟนที่ทำด้วยทองคำเนื้อแท้
บริสุทธิ์ ซึ่งได้มีพระราชดำรัสว่า"อันนี้ไม่จริงเลย สมมติว่าจริงก็จะหนักมาก ยกไม่ไหวหรอก"
         70. ปีหนึ่งๆ ในหลวงทรงเบิกดินสอแค่ 12 แท่ง ใช้เดือนละแท่ง จนกระทั่งกุด
         71. หัวใจทรงเต้นไม่ปรกติ ในหลวงเคยประชวรหนักจนหัวใจเต้นไม่ปกติ เนื่องจากติดเชื้อไมโครพลาสม่า ขณะขึ้นเยี่ยมราษฎรที่อำเภอสะเมิง
ติดต่อกันหลายปี
         72. รู้หรือไม่ว่า ในหลวงเป็นคนประดิษฐ์รูปแบบฟอนต์ภาษาในคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้อย่าง ฟอนต์จิตรลดา ฟอนต์ภูพิงค์
         73. ในนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี จัดขึ้นที่อิมแพ็ค
มีประชาชนเข้าชมรวม 6ล้านคน
         74. ในหลวงเริ่มพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2493 จน 29 ปีต่อมาจึงมีผู้คำนวณว่าเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร 490 ครั้ง
ประทับครั้งละ 3 ชม. ทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทาน 470,000 ครั้ง น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3 ขีด รวมน้ำหนักทั้งหมด 141 ตัน
          75. ดอกไม้ประจำพระองค์ คือ ดอกดาวเรือง
          76. สีประจำพระองค์คือ สีเหลือง
          77. นั่งรถหารสอง : ทรงรับสั่งกับข้าราชบริพารเสมอว่า การนั่งรถคนละคันเป็นการสิ้นเปลือง จึงให้นั่งรวมกัน ไม่โปรดให้มีขบวนรถยาวเหยียด
           ขอพระองค์ทรงพระเจริญ มีพระเกษมสำราญ มีพระพลานมัยแข็งแรงสมบูรณ์ ทรงหายจากอาการพระประชวร มีพระชนม์ยิ่งยืนนาน
เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทย ตลอดกาลนานเทอญ.

11/30/2555

ประธานาธิบดีที่จนที่สุดในโลก



  เมื่อวันที่ 16 พ.ย. บีบีซีเปิดเผยเรื่องราว นาย โฮเซ่ มูจิกา ผู้นำอุรุกวัย วัย 77 ปี ที่ได้ชื่อว่าประธานาธิบดีที่ยากจนที่สุดในโลก ว่าอาศัยอยู่ในกระท่อม และขับรถเก่าคันเล็ก ใช้ชีวิตแตกต่างราวฟ้ากับดินกับผู้นำประเทศต่างๆ
นายมูจิกาปฏิเสธบ้านพักหรูหราที่ทางการจัดให้ โดยอาศัยอยู่ในกระท่อมเล็กๆ ของภรรยา ตั้งอยู่นอกกรุงมอนเตวิเดโอ เมืองหลวง เส้นทางเข้าเป็นถนนลูกรัง โดยสองสามีภรรยาลงมือทำสวนเอง ใช้น้ำจากบ่อ และมีตำรวจ 2 นาย กับสุนัขพิการมี 3 ขา เป็นองครักษ์ นายมูจิกาได้เงินเดือนราว 360,000 บาท แต่นำเงินที่ได้ร้อยละ 90 ไปบริจาคช่วยคนยากจน ทำให้ท่านผู้นำเหลือเงินเดือนราว 23,250 บาท ซึ่งเท่ากับเงินเดือนเฉลี่ยของชาวอุรุกวัย นายมูจิกากล่าวว่า อยู่อย่างนี้มาเกือบทั้งชีวิต อยู่ได้สบายมาก แม้จะถูกเรียกว่าเป็นประธานาธิบดีที่จนที่สุด แต่ไม่รู้สึกว่าจนตรงไหน คนจนคือพวกที่ทำงานเพื่อรักษาชีวิตแสนแพงเอาไว้และอยากได้นั่นนี่ตลอดเวลามากกว่า
“นี่ต่างหากคืออิสรภาพ ถ้าคุณไม่ได้เป็นเจ้าของเยอะ ก็ไม่จำเป็นต้องทำงานทั้งชีวิตเพื่อเป็นทาสสิ่งเหล่านั้น ดังนั้นจึงมีเวลามากพอสำหรับตัวเอง” ผู้นำอุรุกวัยกล่าว โดยบัญชีทรัพย์สินปี 2553 นายมูจิกาเป็นเจ้าของรถยนต์เพียง 2 คัน โดยคันหนึ่งเป็นรถโฟล์กรุ่นบีเทิล ปี 1987 และบ้านไร่หลังดังกล่าว ส่วนปีนี้นายมูจิการวมเอาสินทรัพย์ของภรรยา ได้แก่ ที่ดิน รถไถ และบ้านเข้าไปด้วย ทำให้มีทรัพย์สินเพิ่มเป็น 6 ล้านกว่าบาท แต่ยังน้อยกว่ารองประธานาธิบดีดานิโล แอสโตรี ถึง 2 ใน 3











10 ประเทศที่บางคนอาจจะไม่รู้จักมาก่อน

โลกเรากว้างใหญ่นัก เก็บกักประเทศเล็กประเทศน้อยไว้หลายมุมโลก บ้างมีชื่อเสียงโดดเด่น บ้างถูกซ่อนเร้น จนไม่เป็นที่จดจำ แต่ก็ยังมีคนขุดค้น เสาะหาพาเราไปรู้จัก กับ 10 ประเทศ ที่อาจไม่เคยรู้จักมาก่อน

1. Vanuatu


     Vanuatu มีประชากร 243,300 คน ตั้งอยู่ที่มหาสมุทร South Pacific อาหารประจำชาติคือ ปลา กว่า 90% ของชาว Vanuatu รับประทานและหารายได้จากปลาเป็นหลัก  80% ของประชากรอาศัยอยู่แถบชนบท ปลูกผักสวนครัวกินเอง บริโภคอาหารที่มีตามท้องถิ่น สิ่งเล็กๆ ที่ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวของที่นี่ คือ การดำน้ำ และบรรยากาศอันแสนสงบ


………………………………………………

 

 

2. Nauru



      Nauru เคยเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิโรมัน และมีชื่อเล่นน่ารักว่า “เกาะแสนสุข” มีประชากรเพียง 14,019 คน ตั้งอยู่ที่ Micronesia ในเขต South Pacific ขนาดของ Nauru เล็กมาก จนติดอันดับประเทศที่มีขนาดเล็กที่สุดเป็น อันดับ 3 ของโลก ที่นี่จะมีฤดูมรสุม ระหว่าง พฤศจิกายน – กุมภาพันธ์ เป็นช่วงต้องห้ามสำหรับการเล่นน้ำ แต่จะเป็นฤดูกาลที่คนในประเทศจะช่วยกันเก็บกักน้ำฝนมาใช้ประโยชน์ให้ได้มาก ที่สุดเท่าที่จะทำได้ Nauru เป็นประเทศแห่งการกีฬา และกีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ ฟุตบอล ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงประเทศเล็กๆ แต่ Nauru ก็มีการจัดแข่งขันฟุตบอลประจำปี ซึ่งมี 7 ทีมหลักเข้าแข่งขัน


………………………………………………

 

 

3. Tuvalu



      Tuvalu มีประชากร 12,373 คน มี Queen Elizabeth ที่ 2 เป็นประมุขแห่งรัฐ ครั้งหนึ่งจึงเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Ellice Islands เป็นเกาะโพลีนีเชีย ตั้งอยู่ที่มหาสมุทร Pacific เชื่อมต่อระหว่างฮาวายและออสเตรเลีย Tuvalu ถือเป็นประเทศที่สงบสุข ปราศจากกองกำลังทหาร ไม่ต้องสิ้นเปลืองงบประมาณด้านป้องกันประเทศ Tuvalu มีขนาดเล็กเป็นอันดับ 4 ของโลก
………………………………………………

 

 

 

 

4. Comoros



     Comoros ประกอบด้วยประชากร 798,000 คน เป็นเกาะเชื้อชาติแอฟริกัน ตั้งอยู่ระหว่าง Mozambique และ Madagascar บนคาบสมุทรอินเดีย เกาะ Comoros เคยเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส และปัจจุบันก็มีชาว Comoronian กว่า 3 แสนคน ที่อาศัยอยู่ในประเทศฝรั่งเศส ศาสนาหลักของประเทศนี้คือ อิสลาม 98% ของประชากรเป็นชาวมุสลิม แม้ว่าภาษาหลักที่ใช้จะเป็นภาษาฝรั่งเศส แต่ Comoros ก็มีภาษาประจำชาติ คือ Comoronian หรือ Shikomor

………………………………………………

 

 

 

5. Tokelau



    Tokelau มีประชากร 1,416 คน เป็นดินแดนที่ไม่ปกครองตนเองของนิวซีแลนด์ ซึ่งสร้างจากเกาะ 3 เกาะ เป็นประเทศที่มีขนาดเล็กมากจนไม่จำเป็นต้องมีเมืองหลวง Tokelau เป็นศัพท์โพลีนีเชีย หมายถึง ลมเหนือ มีระบบเศรษฐกิจที่เล็กที่สุดในโลก ซึ่งทำให้ Tokelau ต้องพึ่งพิงการค้าของนิวซีแลนด์ 96% ของประชาชนทั้งประเทศเป็นคริสเตียน และเป็นประชากรหญิงถึง 57%

………………………………………………

 

 

6. Pitcairn Islands



     Pitcairn มีประชากร เพียง 50 คน มีชื่อเรียกประเทศมากมาย ตั้งแต่ Pitcairn, Henderson, Ducieและ Oeno Islands ประเทศแห่งนี้เกิดจากการก่อร่างสร้างตัวของแก่งภูเขาไฟในแถบ มหาสมุทร Pacific ทางตอนใต้ ภาษาท้องถิ่นใช้ทั้งภาษาอังกฤษและ Tahitian โบสถ์ที่ Pitcairn ถูกสั่งปิดเนื่องจากมีคนเข้าประจำแค่ 8 คน มีสถานบันเทิงเพียง 2 แห่ง และมีกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ เต้นรำ และดื่มแอลกอฮอล์ในที่สาธารณะ

………………………………………………

 

 

7. Nagorno-Karabakh Republic



     Nagorno-Karabakh Republic ประกอบด้วยพลเมือง 110,000 คน เป็นสาธารณรัฐอิสระที่ตั้งอยู่ระหว่าง Armenia และ Azerbaijan สงคราม Nagorno-Karabakh ในช่วงปี ค.ศ. 1991-1994 ได้ทิ้งร่องรอยอาณาเขตเหมืองแร่ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งสหภาพโซเวียตเอาไว้  95% ของประชากรที่นี่เป็นชาว Armenian ที่เหลือเป็นชาว Greek และ Kurd

………………………………………………

 

 

8. Palau



      Palau หรือเรียกอีกชื่อว่า Belau มี ประชากรอาศัยอยู่ 20,000 คน ตั้งตนเป็นอิสระในปี ค.ศ. 1994 เป็นประเทศแห่งเกาะ อยู่บนคาบสมุทรแปซิฟิก ถัดจากฝั่งตะวันออกของฟิลิปปินส์ ประมาณ 500 ไมล์ Palau เกิดจากคณะมนตรีภาวะทรัสตีแห่งสหประชาชาติ และตั้งตนเป็นอิสระในยุค 90 ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่เกิดช้าสุดในโลก เมื่อก่อนจะถูกเรียกว่า Carolines หรือ Pelew อาณาเขตแห่งนี้ประกอบด้วยเกาะเล็กๆ กว่า 200 เกาะ

………………………………………………

 

 

9. São Tomé and Príncipe



    São Tomé and Príncipe มีพลเมือง 163,000 คน ชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐประชาธิปไตย São Tomé and Príncipe เป็นชนชาติแห่งเกาะ ใช้ภาษาโปรตุเกสเป็นหลัก ตั้งอยู่บนอ่าว Guinea ค่อนมาทางตะวันตกของเส้นศูนย์สูตรจากชายฝั่งแอฟริกา นักสำรวจชาวโปรตุเกสตั้งชื่อเกาะว่า São Tomé and Príncipe เนื่องจากค้นพบเกาะแห่งนี้ในวันเฉลิมฉลองของ Saint Thomas เกาะนี้ถือเป็นประเทศที่เล็กที่สุดในโลก โดยที่ไม่เคยเป็นอาณานิมคมของประเทศใดมาก่อน
………………………………………………

 

 

10. Marshall Islands



     Marshall มีประชากร 62,000 คน ประกอบด้วยเกาะรูปวงแหวนและเกาะน้อยใหญ่ใจกลางมหาสมุทรแปซิฟิก ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของ Nauru และทางตอนใต้ของ Wake Island อาณานิคมของสหรัฐอเมริกา ประเทศ Marshall มีเนื้อที่เพียง 70 ตารางไมล์ และเป็นส่วนหนึ่งของอาณานิคมแห่งหมู่เกาะแปซิฟิก (ปกครองโดยอเมริกา) ด้วยความที่มี เกาะมากมาย และเกาะรูปวงแหวนที่ใหญ่ที่สุดอย่าง Kwajalein รวมถึงความอุดมสมบูรณ์ของแนวหิน ทำให้ Marshall ตั้งตนเป็นอิสระในปี ค.ศ. 1986

Chernobile

  

 อุบัติภัยเชอร์โนบิล (ยูเครน: Чорнобильська катастрофа, Čornobyľśka katastrofa; อังกฤษ: Chernobyl disaster) เป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1986 ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิล ตั้งอยู่ที่นิคมเชอร์โนบิล ริมฝั่งแม่น้ำนีเปอร์ ใกล้เมืองพริเพียต จังหวัดเคียฟ ทางตอนเหนือของยูเครน ใกล้ชายแดนเบลารุส (ในขณะนั้นยูเครนและเบลารุสยังเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต) อุบัติเหตุที่เชอร์โนบิลนี้เป็นอุบัติเหตุที่เกิดกับโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่ร้ายแรงที่สุดในปัจจุบัน
อุบัติเหตุเกิดขึ้นเมื่อวิศวกรได้ทำการทดสอบการทำงานของระบบหล่อเย็น และระบบทำความเย็นฉุกเฉินของแกนปฏิกรณ์นิวเคลียร์ แต่การทดสอบระบบได้ล่าช้ากว่ากำหนดจนต้องทำการทดสอบโดยวิศวกรกะกลางคืน ได้เกิดแรงดันไอน้ำสูงขึ้นอย่างฉับพลัน แต่ระบบตัดการทำงานอัตโนมัติไม่ทำงาน ส่งผลให้เกิดความร้อนสูงขึ้นจนทำให้แกนปฏิกรณ์นิวเคลียร์หมายเลข 4 หลอมละลาย และเกิดระเบิดขึ้น ผลจากการระเบิดทำให้เกิดขี้เถ้าปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีพวยพุ่งขึ้นสู่บรรยากาศ ปกคลุมทางตะวันตกของสหภาพโซเวียต ยุโรปตะวันออก ยุโรปตะวันตก ยุโรปเหนือ ทางการยูเครน เบลารุส และรัสเซีย ต้องอพยพประชากรมากกว่า 336,000 คน ออกจากพื้นที่อย่างฉุกเฉิน
อุบัติเหตุครั้งนี้ได้รับการจัดความรุนแรงไว้ที่ระดับ 7 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตามมาตราระหว่างประเทศว่าด้วยเหตุการณ์ทางนิวเคลียร์
ในปี ค.ศ. 2005 สำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ และองค์การอนามัยโลก  ได้ประมาณการว่ามีผู้ได้รับผลกระทบจากการระเบิดโดยตรงมากกว่า 600,000 คน มีผู้เสียชีวิตทันทีหลังการเกิดระเบิด 56 คน แต่ผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งจากการสัมผัสกัมมันตรังสีอาจสูงถึง 4,000 คน 
 
  

สุขภาพของพนักงานและคนในท้องถิ่น

หลังเกิดเหตุมีผู้ป่วย acute radiation sickness 237 คน ในจำนวนนี้ 31 คนเสียชีวิตในช่วงสามเดือนแรก ส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยและดับเพลิงที่พยายามควบคุมเหตุการณ์โดยไม่ทราบถึงอันตรายของการรับรังสีและควัน ทั้งนี้รายงาน ค.ศ. 2006 ขององค์การอนามัยโลกในที่ประชุมผู้เชี่ยวชาญ Chernobyl Forum ว่าด้วยผู้ปฏิบัติงาน 237 คนที่ป่วย ARS รายงานว่ามีผู้เสียชีวิตจาก ARS จำนวน 28 คนในช่วง 2-3 เดือนแรก ไม่มีรายงานการเสียชีวิตจาก ARS ของประชากรทั่วไป ในบรรดาผู้ปฏิบัติงานกู้ภัยชาวรัสเซีย 72,000 คนที่อยู่ในกลุ่มศึกษา มีการเสียชีวิตจากเหตุที่ไม่ใช่มะเร็ง 216 รายซึ่งเกี่ยวข้องกับอุบัติภัยในช่วง ค.ศ. 1991-1998 ระยะแฝงของการเกิดเนื้องอกที่เกิดจากการได้รับรังสีมากเกินไปอยู่ที่ 10 ปี ดังนั้นในช่วงเวลาที่ WHO รายงานผลการศึกษานี้ พบว่าอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งไม่ต่างจากประชากรปกติ