1/15/2555

์Nero กษัตรฺย์ผู้เผาเมืองด้วยตนเอง

หากคุณจะเขียนแผ่น CD หรือ DVD โปรแกรมเขียนแผ่นที่เราใช้กันมากก็คือ Nero Burning Rom .. หน้าปกเป็นรูปโคลีเซียม สนามกีฬายักษ์อันเป็นสัญญลักษณ์สำคัญของอาณาจักรโรมันโบราณ ... แล้วการเขียน CD มันเกี่ยวอะไรกับกรุงโรมและโคลีเซียมล่ะครับ
   คำว่า Rom นั่นเป็นศัพท์ของระบบในการเขียนแผ่น ซึ่งไม่เกี่ยวกับชื่อกรุงโรม (Rome)  แต่คนคิดโปรแกรมและคิดชื่อสิครับ เขาเด็ดจริงๆ
   ถ้าสังเกตให้ดี เราจะเห็นว่าเมื่อเราใส่ File ที่จะเขียนแผ่น คำสั่งให้เขียนกลายเป็นรูปแผ่น CD ที่ลุกเป็นไฟ .. ผมเองก็สงสัยว่าทำไมแผ่นต้องลุกเป็นไฟ มันร้อนแรงขนาดนั้นเชียวหรือ
   ที่มาของเรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปถึง นีโรซึ่งเป็นจักรพรรดิองค์ที่ 5 และองค์สุดท้ายของราชวงศ์จูลิโอคลอเดีย ปกครองจักรวรรดิโรมัน ขึ้นครองราชย์วันที่ 13 ตุลาคม ค.ศ.54 ขณะอายุ 25 ปี
   แรกๆเมื่อครองราชย์ใหม่ๆประชาชนก็รักใคร่ดีอยู่ เพราะท่านเป็นกันเอง มีอารมณ์ขันทำให้ผู้คนรอบข้างหัวเราะได้ แถมยังชอบมอบเงินให้คนยากจนอยู่เสมอๆ
   แหม .. อย่างนี้เป็นใครก็รักสิครับ เห็นมั้ยครับว่าไอ้โครงการประชานิยมนี่ เขาทำกันมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งคิดขึ้นมาใหม่โดยอดีตนายกฯ ที่กลายมาเป็นนักโทษในวันนี้
   พอนีโรมีประชาชนรักใคร่มากขึ้น ผมไม่รู้ว่าท่านลืมตัวหรือเปล่า เพราะส่วนมากคนเราพอมีอำนาจมีคนห้อมล้อมยกยอบ่อยเข้า อาการลืมตัวหลงอำนาจก็มักจะเกิดขึ้น และนีโรก็คงเป็นเช่นนั้น เพราะต่อมานีโรก็กลายเป็นคนที่ใช้เงินฟุ่มเฟื่อย ใครเตือนก็ไม่ฟัง สุดท้ายก็ไม่ฟังใคร กูใหญ่ กูเก่งคนเดียว .. คุ้นๆมั้ยครับ  
   จนวันหนึ่ง หลังจากนีโรพาครอบครัวออกไปพักผ่อน ก็เกิดเหตุไฟใหม้โรมครั้งใหญ่ ว่ากันว่าไหม้ไปเกือบหมดเมืองเลยทีเดียว
   พอนีโรกลับมาถึง ก็ประกาศว่าพวกชาวคริสต์นั่นแหละเป็นต้นเหตุของไฟไหม้ เลยสั่งจับชาวคริสต์มาประหารไปเสียเยอะ .. นี่แหละครับที่ทำให้ชาวคริสต์โกรธและเกลียดกษัตริย์โรมันผู้นี้เข้าสายเลือด
   หลังจากจับแพะเชือดเรียบร้อยแล้ว นีโรก็สั่งเร่งฟื้นฟูเมืองที่ถูกไฟไหม้ จะใช้เงินสร้างเมืองใหม่เท่าไรไม่อั้น ... ชาวเมืองก็ดีใจสิครับ แหม ท่านเป็นห่วงเราเหลือเกินสร้างบ้านเรือนใหม่ให้เราด้วย ..
   แต่พอเวลาผ่านไป เอ.. ชักแปลกๆ ทำไมพื้นที่วังใหม่ของท่านมันถึงกินพื้นที่ใหญ่โตกว่าเดิมถึงขนาดนั้น .. รึว่าท่านจะอยากได้วังใหม่เลยเผาเมืองมันซ่ะ!!
   เมื่อวังใหม่ซึ่งใหญ่โตกว่าเก่ามาก ก็ต้องใช้เงินในการสร้างมาก บ้านเมืองก็เพิ่งจะลุกเป็นไฟ ภาษีก็เก็บไม่เข้าเป้า นีโรเลยสั่งให้ทหารไปยึดเอาทรัพย์สินเงินทองของชาวบ้านมาสร้างวังมันดื้อๆอย่างนั้นแหละ
   จนในที่สุด วันที่ 9 มิถุนายน ค.ศ.68 กองทัพโรมันก็เห็นจะทนต่อไปอีกไม่ไหว เลยส่งกองกำลังบุกจับองค์จักรพรรดินีโรมาลงโทษ แต่นีโรก็ชิงฆ่าตัวตายไปก่อนที่จะถูกจับ ตายเมื่อวัย 31 ปี และนับเป็นการสิ้นสุดราชวงศ์ จูลีโอคลอเดีย อีกด้วย

1/02/2555

“5 บุคคล” ที่คุณ “ไม่เคย” รู้ว่า... เป็นผู้เปลี่ยนประวัติศาสตร์โลก...


อันดับ 5.
พนักงาน รักษาความปลอดภัย ผู้นำตัวประธานาธิบดีลงจากตำแหน่ง
(The Security Guard Who Brought Down a President)





"ไม่ น่าเชื่อ เลยว่าผมจะกลายเป็นคนที่ทำให้ท่านประธานาธิบดีลงจากตำแหน่ง"


ไม่น่าเชื่อว่าพนักงานความปลอดภัยที่เงินค่าจ้างเพียง 80 ดอลลาร์ต่อสัปดาห์
ที่ไม่รู้ถึงสัญญาเตือนอันตรายอะไรล่วงหน้า จะสามารถเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์
ของอเมริกาได้ เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อ วันที่ 17 มิถุนายน 1972
ขณะที่พนักงานความปลอดภัยคนหนึ่งกำลังลาดตระเวนสำนักงานที่ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่
ของพรรคเดโมแครต (Democratic) ได้สังเกตเห็นสิงผิดปกติในที่ทำการ (ประตูเปิด)
จึงโทรเรียกตำรวจ ส่งผลสามารถจับกุมผู้ต้องหา 5 คน ได้พร้อมของกลาง


จากการสอบสวนเป็นเรื่องเป็นราว ส่งผลให้ผู้ร้ายย่องเบาถูกการจับกุม
และมีการสอบสวนเพิ่มเติม ก็ปรากฏว่าตัวนิกสันที่เป็นประธานาธิบดีอเมริกา
มีพฤติกรรมทุจริตในการเลือกตั้ง โดยการใช้อำนาจรัฐในทางมิชอบ
ต่อมานิกสันต้องรับผิดชอบกับเหตุการณ์ทั้งหมด ต้องลาออกในตอนท้ายในปี 1974
ก่อนที่อเมริกาจะถูกเปลี่ยนโฉมครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์


ภายหลังมีการตั้งชื่อคดี นี้ว่าคดีวอร์เตอร์เกต (Watergate) ที่หลายคนรู้จักกันดีนั้นเอง


ส่วนชีวิตพนักงานรักษา ความปลอดภัยแสนซื่อสัตย์คนนั้นนะเหรอ
เราก็ไม่รู้เกี่ยวกับตัวเขามากนัก (ขนาดชื่อเขาผมยังหาไม่เจอเลย ใครรู้ช่วยบอกที)
แต่แหล่งข่าวออกมาบอกว่ารัฐบาลตอบแทนเขาอย่างแสบสันต์เลยแหละ
คือ เขาโดนตัดเครดิตทุกอย่าง เช่น ไม่สามารถซื้อตั๋วรถไฟฟ้า ไม่มีที่ฝังศพแม่ของเขา
เขาต้องใส่เสื้อจรจัดพร้อมถังน้ำเดินขอเงินตามข้างถนน และโดนจำคุกในปี 1983
ข้อหาขโมยเงินร้านร้องเท้า 13 ดอลลาร์ และตายในปี 2000


จริงอยู่คนที่ให้เครดิตคดี "วอร์เตอร์เกตคือ "ดีพโธรตและสื่อมวลชน
แต่ถ้าไม่มีพนักงานความปลอดภัยคนนั้นก็ไม่มีจุดเริ่มต้นของ "คดีวอเตอร์เกต


อันดับ 4.
เด็กที่ฆ่า พระเจ้าริชาร์ดที่ 1 แห่งอังกฤษ
(และเปลี่ยน ประวัติศาสตร์)
(The Kid Who Killed Richard the Lionheart
(and Changed History))






พระเจ้าริชาร์ดที่ 1 แห่งอังกฤษ (8 กันยายน ค..1157– 6 เมษายน ค..1199)
ครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งอังกฤษระหว่างปี ค.. 1189 ถึง พ.. 1199
เรียกพระนามว่า ริชาร์ดใจสิงห์ (Richard the Lionheart) ทรงเป็นขุนศึกที่แสนฉลาด
ทำศึกกับคนนอกศาสนา ชาวยิว ประเทศศัตรู ในสงครามคูเสด โดยมีกองกำลังทหาร
ที่แสนร้ายกาจเป็นทีมสนับสนุน และพระองค์ยังทรงเก่งในการใช้ดาบต่อสู้ข้าศึกอีกด้วย

จริงอยู่ในประวัติศาสตร์จารึกว่าพระองค์แพ้สงครามครูเสด
เพราะทหารไม่ชินต่อสภาพภูมิอากาศ แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่า
สาเหตุหนึ่งในนั้นยังมีบุคคลหนึ่งได้เปลี่ยนประวัติศาสตร์
ที่เป็นสาเหตุให้อังกฤษพ่ายแพ้สงครามครั้งนี้


แต่ที่... น่าเหลือเชื่อ คือคนที่ชนะพระองค์ในสงครามครูเสดนั้น
เป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่มีอาวุธเพียงหน้าไม้และกระทะเท่านั้น!!


นักฆ่าคนนั้นเป็นปริศนาเสียจริง ขนาดเพศชายหญิงก็ไม่มีใครทราบ
ไม่มีใครรู้แม้แต่ชื่อของเขา มีบันทึกเดาชื่อของเขามากมาย
เช่น ปีเตอร์(Peter), ดูโด(Dudo), จอห์น(John) หรือเบอร์ ตัน(Bertran)
(ขอเรียกย่อเด็กชายคนนี้เป็น PDJB ละกันโดยเรื่องของเรื่องคือ
ขณะที่พระ เจ้าริชาร์ดที่ 1 แห่งอังกฤษ ทำศึกสงครามครูเสด เพื่อมุ่งสู่นครเยรูซาเล็ม
(ครั้งที่ 3) จนถึงเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งของ PDJB ทหารของริชาร์ดจัดการเมืองเล็กๆ นี้
โดยการฆ่าคนและเผาเมือง รวมไปถึงการฆ่าพ่อ และพี่ชายน้องชายของเด็กคนนั้นด้วย
มันช่างง่ายต่อพระเจ้าริชาร์ดที่ 1 เสียยิ่งกระไร


และแล้วพระเจ้าริชาร์ดที่ 1 ก็อวดบารมี พระองค์ทรงขึ้นไปจุดสูงสุดของกำแพงเมือง
อวดให้ชาวเมืองที่กำลังจะตาย และทหารของพระองค์ได้ดู
และแล้วทันใดนั้นก็มีลูกศรพุ่งตรงมาปักบริเวณปอดของพระเจ้าริชาร์ด
ทหารของพระองค์หันไปมองเห็นเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งกำลังง้าวลูกศรเพลิงออกไป
และลูกที่สองก็ปล่อยออกมาไปปักที่ไหล่ของพระองค์ ทำให้พระองค์บาดเจ็บสาหัส
และรักษาไม่ได้จนเกิดเนื้อเน่า การบุกรุกแดนตะวันออกกลางจึงหยุดแต่เพียงเท่านั้น
(ก่อนที่พระองค์จะตายใน ค..1199)

ส่วนชีวิตของเด็กชายนั้นไม่รู้ว่าเขาเป็นไงต่อหลังจากนั้น ว่ากันว่าทหารฆ่าเด็ก
อย่างโหดร้าย หรือบางตำนานบอกว่าพระองค์ทรงให้อภัยเด็ก เพราะเขามีความกล้า
ท้าทายพระองค์ ซึ่งสุดท้ายทำให้ชาวเมืองของ PDJB เกือบล้านชีวิต รอดตายมาได้



อันดับ3.
ทาสหญิงผู้ช่วยโลกใหม่
(The Slave Girl Who Helped Conquer The New World)






ชาวสเปนชื่อ เฮอร์นาน คอร์เตส (Hernan Cortes) อาจได้รับเครดิต
ที่สามารถพิชิตอาณาจักรอาซเทกที่แสนดุร้ายในอเมริกาใต้ได้
แต่หลายคนจะรู้ไหมหนอว่า เบื่องหลังของความสำเร็จนั้น
มาจากทาสหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งคอยช่วยอาณาจักรสเปนอยู่


หญิงสาวผู้นั้นมีนามว่า "ลา มาลินเช่" (La Malinche)


ไม่มีบันทึกไว้ชัดเจนว่าพื้นเพของเธอนั้นเป็นใครมาจากไหน อายุเท่าไหร่
แม้แต่ชื่อจริงของอยู่เธอก็ยังเป็นปริศนา กระทั่งวันเกิดวันตายของเธอก็ไม่มีผู้ใดรู้
รู้แต่ว่าเธอเป็นทาสสาวของชาวมายาที่แสนต่ำต้อยที่ยกให้สเปน


อย่างที่รู้ๆ กันอาณาจักรอาซเทก ไม่มีความรู้เรื่องภาษาหรือวัฒนธรรมของสเปน
ซึ่งทำให้สเปนไม่มีล่ามที่จะสื่อสารชนเผ่าต่างๆในอาณาจักรอาซเทก
ดังนั้นพวกเขาจึงต้องฝึกเด็กสาวนั้นได้เรียนรู้ภาษาสเปนเพื่อช่วยให้เธอเป็นล่าม
สานความสัมพันธ์เจรจากันทั้งสองฝ่าย และแต่งตั้งให้เธอเป็นทูตในที่สุด

และตลอดที่ลา มาลินเช่เป็นทูตนั้น เธอทำหน้าที่อย่างดีเยี่ยม สามารถเจรจากับ
ชนเผ่าต่างๆ ในอาณาจักรแอสเท็ค โดยปราศจากการต่อสู้ จนสามารถรวบรวมอาณา
จักรเม็กซิโก และพิชิตอาณาจักรนี้สำเร็จ จนทำให้ดินแดนแถบนั้นกลายเป็นเมืองขึ้น
ของสเปนอยู่ถึง 300 ปี และเมื่อเสร็จงานในปีค.. 1524 คอร์เตสพาลา มาลินเช่
ไปช่วยราชการในการยึดดินแดนทางใต้ (ปัจจุบันคือประเทศฮอนดูรัส)
และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผู้คนมีโอกาสได้ยิน ชื่อเธอบนหน้าประวัติศาสตร์
เพราะหลังจากนั้นเธอก็หายตัวสาบสูญไปเลย



อันดับ 2.
ใครกันที่ เป็นคนสร้างความหวังเมื่อไปเจอทะเลทองคำเข้า
(The Prospector Who Stumbled Across An Ocean of Gold)







ปี1886 ซึ่งเป็นปีที่ชาวแอฟริกาใต้กำลังตื่นทอง และนักสำรวจแร่ต่างได้เข้ามายื้อแย่งกัน
นายซอรส์  แฮ รี่สัน (Sors Hariezon) ได้เดินทางไปทั่วแอฟริกาใต้
และในที่สุดเขาก็ได้พบกับแร่ทองคำ เขาได้ปักเขตพื้นดินให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเขา
และก็ตั้งตนค้นหาทองต่อไป และไม่นานนักพวกล่าทองคำ ล่าผืนดิน
ได้เข้ามาในบริเวณนี้เป็นบริเวณกว้างหลายร้อยไมล์


จากนั้น ซอรส์ได้ขายกรรมสิทธิ์ของเขาไปในราคาเพียง 20 เซ็นต์แล้วแยกตัวออกมา
หลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้ข่าวเขาอีกเลยบ้างก็ว่าเขาไม่ได้ออกไปไหน
แต่ชื่อของเขาถูกออกเสียงผิดๆว่า จอร์จ แฮรี่สัน บนใบกรรมสิทธิ์ทองคำ
ซึ่งบางประวัติศาสตร์บอกว่า เขาได้ขายไปและออกเดินทางแต่โดนสิงโตกินไปแล้ว
(แถมคำว่าซอรส์ไม่ใช่ชื่อจริงเขาอีก เนื่องจากคำว่าซอรส์นั้น
เป็นชื่อของเทพเจ้าแห่งความโชคดีของชาวโรมัน)


และที่แห่งนั้นอยู่ใกล้กับที่ซึ่ง ต่อมาได้แบ่งออกเป็นเมืองโจฮันเนสเบอร์ก
ยังคงผลิตทองคำออกมาเรื่อยๆ ในแต่ละปี ซึ่งสามารถผลิตทองได้
ปีละหนึ่งพันตันเป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้ว



อันดับ1.
พ่อค้าถ่าน ที่ช่วยชีวิตพระเจ้าหลุยส์ที่ 14
(และเปลี่ยน ประวัติศาสตร์อีกครั้ง)
(The Coal Merchant Who Saved King Louis the Fourteenth
(And Changed History Again))






ในปี 1640 คนขายถ่านคนหนึ่ง กำลังเดินกลับบ้าน และเมื่อถึงบ้าน
ครอบครัวของเขาต่างแปลกใจ ที่พบเด็กชายคนหนึ่งในอ้อมแขนของคนขายถ่าน
ซึ่งเขาอธิบายว่าเขาเห็นเด็กชายคนนั้น กำลังจมน้ำที่แอ่งข้างหลังราชวังสุดหรู
ของฝรั่งเศส (มี กรณีคือเล่นซนหรือไม่ก็ลอบสังหาร)
ซึ่งในบริเวณนั้นไม่มีคนอื่นๆ นอกจากเขา เขาเลยช่วยเด็กชายคนนี้ขึ้นจากน้ำ
และปฐมพยาบาลเขาทั้งคืนจนเด็กชายคนนั้นได้สติ


หารู้ไม่ว่าอนาคตคนนี้เด็กคนนี้จะเป็นกษัตริย์ในนามข้างหน้า
ซึ่งพระนามว่า พระเจ้าหลุยส์ที่ 14!!


หลังจาก คนขายถ่านได้ช่วยเหลือกษัตริย์เด็กผู้ชายหลุยส์ที่ 14!! ฟื้นจากความตาย
เพื่อเป็นการขอบคุณคนขายถ่าน หลุยส์ที่ 14!ได้สัญญาเขาว่าจะตอบแทนเงิน
และหลังจากนั้นเราก็ไม่ทราบข่าวของ คนขายถ่านคนนี้อีกเลย
ว่าเขามีชีวิตอย่างไรหลังจากนั้น

เรื่องจริงเกี่ยวกับเจ้าหญิง Disney


สโนว์ไวท์


ว่ากันว่านิทานเรื่องสโนว์ไวท์เป็นตำนานพื้นบ้านที่มาจากเรื่องจริงของรัสเซีย แต่พอ
เล่าต่อๆกันมาก็ถูกลดเรื่องให้สั้นลงจนกลายเป็นคิกคุอาโนเนะ
เรื่องเริ่มต้นที่ว่า แม่เลี้ยงนั่นไม่ใช่แม่มดร้าย แต่เธอถูกสโนว์ไวท์ประณามต่างหากว่าเป็น
แม่มดใจร้าย เพราะคิดว่าพ่อของเธอหลงเสน่ห์ จริงๆ แล้วแม่มดเธอสวยและก็ปกครองเก่ง
แค่นั่น แต่สโนว์ไวท์ก็สวยเช่นกัน(ว่ากันว่าเธอเป็นสาวชาวรัสเซีย) แม่มดอิจฉาเลยส่งไป
เป็นคนใช้(ตามเสต็ป)
พอพระราชาตายและสโนว์ไวท์ก็มีสิทธิ์ครองราชย์ แม่เลี้ยงเลยส่งคนมาฆ่าสโนว์ไวท์(ซึ่ง
คือนายพราน) แต่เพราะสโนว์สวยเลยไม่ถูกฆ่าแต่แลกด้วยการ XXX(กรี๊ดดดด ป่าเถื่อน!)
สโนว์ไวท์ก็ตกลง เพราะไม่อยากตาย จากนั่นนางก็หายตัวไปในป่า ไม่กลับมาอีกตาม
สัญญาที่ให้กับนายพราน เสร็จแล้วก็ได้คนแคระช่วยไว้ซึ่งตามของดั่งเดิมเห็นว่า จริงๆ คือ
ชาวจีน ซึ่งขนาดตัวของคนเอเชียกับยุโรปนั่นต่างกันมาก ที่สำคัญคนจีนก็ครอบครัวใหญ่
ด้วยเลยมีคนเยอะ
**จากแผนที่ภูมิประเทศจะพบว่ารัสเซียนั่นตั้งอยู่บนยุโรปตอนเหนือและก็มีพื้นที่ติดกับจีน
อีก
จากนั่นสโนว์ไวท์ก็ทำนองว่าอยู่กันคนแคระทั้งเจ็ดอะไรเหมือนนิทานนี่แหละ แต่เพื่อนบลัด
บอกว่านางถูกพวกคนแคระข่มขืนด้วย! (ปร๊ะเจ้า!)
หลังจากนั่นแม่มดก็รู้ว่าสโนว์ไวท์ยังไม่ตายเลยเลยคิดแผนเอายาพิษทาแอ๊ปเปิ้ลและวานให้
ยายแก่(ไม่รู้ว่าสมรู้ร่วมคิดหรือถูกหลอกใช้)ให้เอาไปให้สโนว์ไวท์ พอนางโดนยาพิษ คน
จีนที่นางอยู่ด้วยก็โกรธเลยตามฆ่า
บอกว่าตามต้นฉบับเดิมได้บอกไว้ว่ายายแก่โดนพลั่วฝาดจนตายแล้วเอาศพไปทิ้งกลางป่า
(โหดร้าย)
แล้วตอนหลังที่สโนว์ไวท์ตื่นก็มาเพราะยาสมุนไพร หรืออะไรซักอย่างที่ได้จากเจ้าชาย
(เหมือนว่าเจ้าชายจะคบกับสโนว์ไวท์มานานแล้ว และพอนางหายตัวเลยออกตามหา)
จุดสำคัญสุดๆ คือ ตอนหลังสโนว์ไวท์แต่งงานกับเจ้าชายแล้วให้เจ้าชายออกทัพรบกับเมือง
แม่เลี้ยงจนชนะ ความแค้นของนางที่มีต่อแม่เลี้ยงเลยจับแม่เลี้ยงมาใส่รองเท้าหลอมเหล็ก
ร้อนแล้วให้เต้นระบำ พร้อมประณามว่าเป็นนางแม่มด

ซินเดอเรล่า

ตามปกติเราจะคิดว่ามีรถฟักทอง และนางฟ้า แต่ฉบับกริมม์กลับกลายเป็นว่ามีต้นไม้
วิเศษที่เอาผลหรือใบอะไรซักอย่าง(จำชื่อต้นไม้ไม่ได้) มาทำเสื้อเลยเด่นสะดุดตา พอตอน
เจ้าชายมาหาหญิงสาวมาสวมรองเท้าให้ พวกพี่เลี้ยงเลยติดสิ้นใจเฉือนเนื้อเท้าตัวเองให้
พอดี(ลงทุนจริงๆ) แต่ความก็แตก และคนที่ใส่ได้คือนางซินนี่เอง
ตอนจบของเรื่องคือพี่เลี้ยงทั้งสองโดนนกพิราบจิกตาจนบอดกลายเป็นขอทาน 
 
หนูน้อยหมวกแดง


ว่ากันว่าจริงๆแล้วเด็กหญิงผู้นี่ ไม่ได้ใส่เสื้อคลุมสีแดง แต่เป็นสีขาว แต่แท้จริงแล้วที่
เป็นสีแดงเพราะชโลมไปด้วยเลือด เท่าที่อ่านมาบ้างก็ว่า เธอเป็นเด็กสาวที่เจ้าเล่ห์น่ากลัว
สุดๆ หล่อนหลอกให้หมาป่าผู้ใสซื่อมากินคุณยาย เพระรำคาญคุณยายที่ป่วยอยู่ได้ พอ
หมาป่ากินก็กระดูกติดคอเลยฆ่าหมาป่ามากินซะ เลือดของหมาป่าเลยชโลมร่างของหนู
น้อย
อันบนไม่สะเทือนใจบลัดเท่าไหร่หรอก แต่สองอันล่างนี่ซิ ช็อกคาหน้าคอมเลย
อีกเรื่องกลับเป็นคล้ายๆอย่างที่เราเข้าใจ แต่หนูน้อยของเราโดนนายพรานลักพาตัวมา แล้ว
ก็ข่มขื่นอย่างสะใจ(โลลิค่อน!) แล้วก็จับหนูน้อยมัดไว้กับต้นไม้(สงสัยกะเก็บไว้มาต่ออีก
รอบมั้ง) แต่หนูน้อยผู้น่าสงสารกลับถูกฝูงหมาป่ารุมฉีกเนื้อขย้ำกินไม่มีชิ้นดี พอนายพราน
กลับมาก็พบว่าเด็กน้อยเปรอะเลือดไปทั้งตัวจนฮูทสีขาวกลายเป็นสีแดงก่ำ
อีกอันก็เหมือนหนูน้อยหมวกแดงตามที่อ่าน แต่ไม่มีหมาป่า แถมจบbad end ตรงที่หนูน้อย
ต้องมาระบำเปลืองผ้าให้หมาป่าดูตอนเขมือบคุณยายเข้าท้อง และว่ากันว่ามีการร่วมเพศ
ของคนกะสัตว์อีก(อึ๋ย~) สุดท้ายหนูน้อยก็โดนเขมือบเข้าท้องไปอีกคนตามยายไป The

Little Mermaid

ความเศร้าของเงือกน้อยที่ผิดหวังในความรักทำให้หล่อน กลายเป็นฟองสบู่ไปใน
ที่สุดยังดี
ที่ Disney เอามาเขียนใ ห้ Happy ending ได้โดยการได้ครองรักกับเจ้าชายแล้วเรื่อง
จริงๆล่ะ...นางเงือกน่ะเศร้าจริง แต่ว่า ครั้งเมื่อเห็นเจ้าชายแต่งงานกับหญิงอื่นเจ๊แกฟืนไฟห
อบมาจากไหนไม่รู้(หมดความเป็นกุลสตรีทันที)หยิบมีดจากไหนไม่รู้(คาดว่ามาจากใน
งาน)จ้วงเจ้าชายตา ยคาที่พอตนเองรู้สึกตัวก็เสียใจและกระโดดลงทะเลไป ละก็กลายเป็น
ฟองสบู่เหมือนในเรื่องน่ะแหละ สรุปก็คือ โดนตัดออกแค่เจ้าชายตาย

Sleeping beauty

เจ้าหญิงนิทรา โดนเข็มตำแล้วหลับไป แล้วผ่านไป100ปี เจ้าชายก็โผล่มา แล้วก็จูบ
แล้วเจ้าหญิงก็ฟื้นขึ้น
แล้วเรื่องจริงๆ ล่ะ...

ไม่มีคำสาปอะไรทั้งนั้น แต่เป็นคำทำนายว่าเจ้าหญิงพออายุ15ปี จะโดนเข็มตำและจะหลับ

ไปซึ่งก็เป็นตามคำทำนาย และ ไม่มีใครกล้าปลุกองค์หญิงพอเวลาผ่านไป บ้างก็ว่าเจ้าชาย

บ้างก็ว่าเป็นกษัตริย์ แต่จะเป็นใครก็ช่างเถอะพอมาถึง เห็นหญิงงามอยู่ตรงหน้าหลับปุ๋ย

น่ารักดีก็ปฏิบัติภารกิจโดยทันที (คงรู้นะไม่มีแจ้งว่ากี่วันนะ ถึงจะท้องแล้วพอคลอด

ออกมาเป็นลูกแฝด ลูกหิวนมมาก จึงไปดูดนิ้วแม่ของตนทำให้เจ้าหญิงตื่นขึ้นมาพร้อม

กั บสับสนว่า เกิดไรขึ้น แล้วนี่เด็กใครหว่าอย่างไรก็ตาม ไม่มีข้อมูลว่า ฝ่ายชายผู้กระทำ

หายไปไหน(อาจเป็นต้นกำเนิดของ ฟันแล้วทิ้ง)