10/31/2555

คำพูดดีๆจากแม่ คำสอนดีๆจากแม่


คำพูดดีๆจากแม่
คำสอนดีๆ จากแม่
แม่คงสอนให้ลูกฉลาดไม่ได้
ลูกต้องเรียนรู้และฉลาดด้วยไหวพริบและกึ๋นของลูกเอง
แม่อยากให้ลูกคิด และมองโลกในแง่ดี
อย่าคิดว่าใต้ฟ้านี้มีแต่เรื่องทำไม่ได้ เป็นไม่ได้
หัดคิดให้เป็นบวกไว้แหละดี
แม่อยากให้ลูกหัดฝัน
เมื่อไรลูกฝันเป็น ..ไม่ว่าจะเป็นใฝ่ฝัน หรือความฝัน
ลูกจะรู้ว่าโลกนี้มันน่าอยู่เพียงไหน
แม่อยากให้ลูกพูดแต่เรื่องดี พูดแต่เรื่องสวยงาม
จงเป็นคนสุดท้ายที่ให้ร้ายคนอื่น และจงเป็นคนแรกที่ให้กำลังใจและชื่นชม
แม่อยากให้ลูกทำเรื่องแปลกๆ
ลูกไม่จำเป็นต้องเดินตามชีวิตประจำวันของใคร
อย่าเก็บความคิดแปลก เพียงเพราะเห็นว่ามันไม่เหมือนใคร
แม่อยากสอนให้ลูกกล้าแดด กล้าฝน
เพราะภายใต้ไออุ่นของดวงอาทิตย์ลูกจะได้รับวิตามินดี
และภายใต้ฟ้าที่มีฝน มันจะทำให้ลูกร้องไห้โดยไม่มีใครเห็นน้ำตา
แม่อยากสอนให้ลูกออกกำลังกายทุกวัน
อย่างน้อยคนเราก็ต้องเคลื่อนไหวทะมัดทะแมง ลูกได้ออกแรงเสียบ้าง
ลูกจะแข็งแกร่งไม่อ่อนแอ
แม่อยากให้ลูกยิ้ม และอยู่กับโลกด้วยความรัก
ยิ้มอาจจะไม่ชนะทุกสิ่ง ยิ้มมากๆอาจจะดูเหมือนคนบ้า
แต่มันก็ดีกว่าหน้าบึ้งหน้างอเป็นไหนๆ
แม่อยากสอนให้ลูกรู้จักอดทน
ลูกต้องเรียนรู้ว่าลูกไม่มีทางได้ทุกๆอย่างที่ลูกหวังไว้
อดทนและอย่าได้เสียกำลังใจ อย่าท้อและขอให้
เริ่มใหม่อย่างมีพลัง
แม่อยากสอนให้ลูกเขย่งขาขึ้นให้สูง
ไม่มีอะไรที่สูงไปกว่าสองมือเราจะเอื้อมคว้า
เพียงแค่ว่าเรายืนยันที่จะไม่ยืนอยู่กับที่
แม่อยากสอนให้เจ้ามีความสุข..แต่อย่าลืมทุกข์ด้วยล่ะลูก
คนที่ไม่เคยมีความทุกข์
เขาสุขจริงๆไม่เป็นหรอก เจ้าเอย
ไอคิวมันติดมาแต่บนฟ้าลูกจ๋า ไม่ฉลาดก็มีความสุขได้ไม่ต้องห่วง
อย่าน้อยใจถ้าตามใครเขาไม่ทัน อย่าเสียขวัญถ้าเราช้ากว่าใครๆ
อีคิวมันต้องหาเองบนโลกนี้ลูกเอ๋ย ไม่ฉลาดก็น่ารักและมีความสุขได้
"อย่ากลัวที่จะเปลี่ยนแปลงปรับปรุง ลูกมีกำลังใจเป็นถุงจากแม่ ไม่ต้องกลัว"

เรื่องแปลกสาวสหรัฐฯป่วยแปลก! กินอาหารทุก 15 นาที เพื่อไม่ให้ตาย


เรื่องแปลกสาวสหรัฐฯ สาวป่วยแปลก

เรื่องแปลกสาวสหรัฐฯป่วยแปลก
 



            เมื่อวันที่ 16 กันยายน เว็บไซต์เดลิเมลของอังกฤษ รายงานว่า พบ หญิงสาววัย 23 ปีป่วยเป็นโรคประหลาด ต้องกินอาหารในทุก ๆ 15 นาที เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด ดังนั้นเฉลี่ยแล้ว เธอจะกินอาหาร 60 ครั้งต่อวัน แต่น้ำหนักเธอจะไม่มีวันมากไปกว่านี้แล้ว มีแต่จะลดลงอย่างรวดเร็วหากไม่กินอาหาร

            โดยเด็กหญิงคนดังกล่าว คือ นางสาวลิซซี่ เวลาสเควซ (Lizzie Velasquez) จากเมืองออสติน รัฐเทกซัส สหรัฐอเมริกา หญิงสาวผู้มีร่างกายที่ผอมมากจนเนื้อหนังติดกระดูก จนไปที่ไหนก็มีแต่คนกลัวหรือแสดงท่าทีรังเกียจเธอ โดยลิซซี่เล่าว่า ในตอนแรก ตนโดนเพื่อน ๆ ล้อจนตนเองก็รับไม่ได้ ตนหงุดหงิดมากที่หลายคนนินทาว่า ตนเป็นโรคอดอาหารเพราะอยากผอม แต่ความจริงมันไม่ใช่เลย ตนต้องทนทุกข์ทรมานกับสิ่งที่เป็นอยู่แค่ไหน ไม่มีใครรู้ แต่ที่สุดแล้วตนก็เลือกที่จะเรียนรู้และยอมรับกับอาการที่เป็นอยู่ และปรับตัวให้อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข


 
เรื่องแปลกสาวสหรัฐฯป่วยแปลก

เรื่องแปลกสาวสหรัฐฯป่วยแปลก
 


            
"ตน ต้องกินอาหารหรือขนมต่าง ๆ ทุก ๆ 15 นาที ดังนั้นใน 1 วัน ตนจะต้องกินอาหารประมาณ 60 มื้อและต้องมีอาหารหรือขนมติดตัวไปไหนมาไหนตลอดเวลา ส่วนใหญ่ของที่กินก็มีหลากหลายประเภท ลูกอม ช็อกโกแลต พิซซ่า ไก่ โดนัท ไอศครีม แต่ถึงแม้ว่า อาหารที่กินเข้าไปจะมากมายเพียงใด หรือจะมีแคลลอรี่สูงถึง 5,000-8,000 แคลลอรี่่ต่อวันสูงเท่าใด แต่มันก็ไม่ได้ช่วยทำให้ตนมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นแล้ว มันมีแต่จะลดลงถ้าตนไม่กินอาหาร หากน้ำหนักเพิ่มขึ้นซักปอนด์ ตนก็ดีใจมากแล้ว" ลิซซี่เล่าด้วยสีหน้าเศร้า

            ทั้ง นี้ ลิซซี่เป็นเด็กที่คลอดก่อนกำหนดถึง 4 อาทิตย์ โดยมีน้ำหนักเพียง 2 ปอนด์ โดยแม่ของลิซซี่บอกว่า ตั้งแต่เด็ก ลิซซี่ถูกส่งไปโรงพยาบาล แต่แพทย์ไม่สามารถระบุอาการของเธอได้ ขณะที่เคสของเธอกลายเป็นที่สนใจของแพทย์ทั่วโลก และเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาด้านพันธุกรรมการเติบโตของร่างกายที่ผิดปกติ โดยแพทย์บางรายบอกว่า ลิซซี่ อาจมีอาการ Neonatal Progeroid Syndrome ที่ทำให้เกิดอาการร่างกายแก่ตัวไว สูญเสียไขมันจากใบหน้าและร่างกาย และเนื้อเยื่อเสื่อมสภาพ ซึ่งมีผู้คนจำนวนไม่มากนักที่ป่วยมีอาการเช่นนี้ และแต่ละรายก็จะมีอาการแตกต่างกันออกไป

ป่วยประหลาด หนุ่มอินเดียป่วยแปลก เนื้องอกปิดเต็มใบหน้า


ป่วยประหลาด หนุ่มอินเดียป่วยแปลก เนื้องอกปิดเต็มใบหน้า

หนุ่มอินเดียป่วยแปลก เนื้องอกปิดเต็มใบหน้า
 


          เมื่อ วันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมา เว็บไซต์เดอะซันของอังกฤษ เปิดเผยเรื่องราวสุดสะเทือนใจ เมื่อหนุ่มอินเดียรายหนึ่งได้เกิดมาพร้อมกับภาวะสุดแปลก มีเนื้องอกปิดเต็มทั้งใบหน้า กลายเป็นที่รังเกียจของคนที่พบเห็น เจ้าตัวหวั่นภาวะแปลกนี้จะถ่ายทอดสู่ลูกที่กำลังจะเกิดในเร็ว ๆ นี้

          หนุ่มรายนี้ มีชื่อว่า นายโมฮัมหมัด ลาทิฟ คาตานา วัย 32 ปี จากแคว้นแคชเมียร์ของอินเดีย เขา เกิดมาพร้อมกับภาวะแปลก มีเนื้องอกงอกออกมาทั่วไปหน้าอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เกิด จนกระทั่งเขาอายุได้ 8 ขวบ เนื้องอกก็เติบโตจนปิดใบหน้าเขาทั้งหมด และมันก็ทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย ขณะที่แม่ของเขาก็ร้องไห้ทุกครั้งที่ได้เห็นหน้าเขา เพราะสงสารลูก และเขาเป็นลูกเพียงคนเดียวมีอาการผิดปกตินี้

          ลาทิฟ เติบโตขึ้นมาโดยที่ไม่มีเพื่อนฝูง เพราะต่างก็พากันหวาดกลัวและรังเกียจเขา ไม่มีใครอยากเล่นหรือคบหาสมาคมกับเขาเลย กลับกัน เพื่อนในหมู่บ้านวัยเดียวกันยังแกล้งและล้อเลียนเขาเรื่อยมา และแน่นอนว่า เมื่อ เขาเติบโตขึ้นในวัยทำงาน ก็ไม่มีใครรับเขาเข้าทำงานด้วย แม้ว่าเขายังคงมีร่างกายครบ 32 สามารถทำงานได้เฉกเช่นคนปกติก็ตามที เขาจึงต้องกลายเป็นขอทาน เพื่อหารายได้มาเลี้ยงตัวเองได้เฉกเช่นพี่น้องของเขา

          ตลอดชีวิตการเป็นขอทานของเขา เขาเจอผู้คนมาหมดทุกรูปแบบ ทั้งคนที่สงสารเห็นใจ และคนที่แสดงท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์ ถ่มน้ำลายใส่เขาแล้วเดินจากไปก็มี ซึ่งนั่นทำให้เขารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจและเจ็บปวดอยู่หลายครั้ง


หนุ่มอินเดียป่วยแปลก เนื้องอกปิดเต็มใบหน้า
 

          ส่วนทางด้าน ครอบครัวของเขานั้น ถึงแม้ว่าเขาจะมีหน้าตาอัปลักษณ์อย่างไร ครอบครัวของเขาก็พยายามหาภรรยาให้เขา เพื่ออยู่ดูแลเป็นคู่ชีวิต ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่โชคชะตาก็ยังคงเข้าข้างเขาอยู่บ้าง ทำให้เขาได้เจอกับหญิงสาวพิการเท้าที่ชื่อว่า ซาลิมา ผู้ซึ่งกำลังมองหาผู้ชายจริงใจมาเป็นคู่ชีวิตเช่นกัน และหลังจากที่เขาได้รู้จักเธอ ทั้งคู่ก็ได้แต่งงานกันและใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมากว่า 4 ปีแล้ว

          หลังจากชีวิตคู่ของลาทิฟ และซาลิมา ได้เริ่มต้นขึ้น ลาทิฟก็ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนคนธรรมดาทั่วไปเป็นครั้งแรก เพราะซาลิมาเห็นคุณค่าของเขา และรักเขาโดยมองข้ามภาวะแปลกที่เขามีไปได้ ทั้งคู่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ก็ไม่ได้สุขไปซะทั้งหมด เช่นตอนนี้ ที่ซาลิมากำลังท้องได้ 7 เดือนแล้ว ลาทิฟก็เป็นกังวลอย่างมากว่า ภาวะแปลกที่เขาเผชิญนี้อาจจะถ่ายทอดไปยังลูกของเขาได้ และลูกอาจจะต้องเติบโตขึ้นมาท่ามกลางคำล้อเลียนและสายตารังเกียจเดียดฉันท์ อย่างที่เขาเผชิญ เขาจึงได้แต่อธิษฐานและภาวนาขออย่าให้ลูกต้องเกิดมาในสภาพเดียวกับเขาเลย

          ทั้งนี้ สำหรับภาวะเนื้องอกทั่วใบหน้าของลาทิฟนี้ แพทย์ บอกเขาว่าไม่อาจจะรักษาได้ด้วยวิธีการใด ๆ เนื่องจากเนื้องอกที่งอกออกมาทับกันบนใบหน้าเหล่านี้ มีเส้นเลือดอยู่มากมาย ซึ่งถ้าหากผ่าตัดออกไป เขาอาจเสียชีวิตได้ เขาจึงต้องอยู่กับใบหน้าที่เต็มใบด้วยเนื้องอกเช่นนี้ไปตลอดชีวิตนั่นเอง

วันสตรีสากล



จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
โปสเตอร์ วันสตรีสากล ปี ค.ศ. 2457
วันสตรีสากล (International Women's Day) ตรงกับวันที่ 8 มีนาคม ของทุกปี (อาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ) เป็นวันที่มีการประท้วงของแรงงานหญิง ณ เมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา กรรมกรสตรีในโรงงานทอผ้าได้ลุกฮือขึ้นเดินขบวนประท้วงการเอาเปรียบกดขี่ขูดรีด ทารุณ จากนายจ้างที่เห็นผลผลิตสำคัญกว่าชีวิตคน

ประวัติ
ความเป็นมา ของ "วันสตรีสากล" เกิดขึ้นจากกรรมกรหญิงในโรงงานทอผ้า รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกาได้พากันลุกฮือประท้วงให้นายจ้างเพิ่มค่าจ้าง และเรียกร้องสิทธิของพวกเธอ แต่สุดท้ายกลับมีผู้หญิงถึง 119 คนต้องเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ ด้วยการที่มีคนลอบวางเพลิงเผาโรงงานที่พวกเธอนั่งชุมนุมกันอยู่ โดยเหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ.1857 (พ.ศ. 2400)

[แก้]ประวัติ

จากนั้นในปี ค.ศ.1907 (พ.ศ. 2450) กรรมกรหญิงในโรงงานทอผ้าที่เมืองชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกาทนไม่ไหวต่อการเอารัด เอาเปรียบ กดขี่ ทารุณ ของนายจ้างที่ใช้งานพวกเธอเยี่ยงทาส เนื่องจากกรรมกรหญิงเหล่านี้ต้องทำงานหนักถึงวันละ 16-17 ชั่วโมง โดยไม่มีวันหยุด ไม่มีประกันการใช้แรงงานใดๆ เป็นผลให้เกิดความเจ็บป่วยล้มตายตามมาในระยะเวลาอันรวดเร็ว แต่กลับได้รับค่าแรงเพียงน้อยนิด และหากตั้งครรภ์ก็ถูกไล่ออก
ความอัดอั้นตันใจจึงทำให้ "คลาร่า เซทคิน" นักการเมืองสตรีสายแนวคิดสังคมนิยม ชาวเยอรมันตัดสินใจปลุกระดมเหล่ากรรมกรสตรีด้วยการนัดหยุดงานในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ.1907 พร้อมกับเรียกร้องให้นายจ้างลดเวลาการทำงานลงเหลือวันละ 8 ชั่วโมง อีกทั้งให้ปรับปรุงสวัสดิการทุกอย่าง และให้สตรีมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งด้วย อย่างไรก็ตามแม้การเรียกร้องครั้งนี้ จะไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากมีแรงงานหญิงหลายร้อยคนถูกจับกุม แต่ก็ทำให้สตรีทั่วโลกสนับสนุนการกระทำของ "คลาร่า เซทคิน" และเป็นการจุดประกายให้สตรีทั่วโลกเริ่มตระหนักถึงสิทธิของตัวเองมากขึ้น
ต่อมาในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ.1908 (พ.ศ. 2451) มีแรงงานหญิงกว่า 15,000 คน ร่วมเดินขบวนทั่วเมืองนิวยอร์ก เรียกร้องให้ยุติการใช้แรงงานเด็ก โดยมีคำขวัญการรณรงค์ว่า "ขนมปังกับดอกกุหลาบ" ซึ่งหมายถึงการได้รับอาหารที่พอเพียงพร้อมๆ กับคุณภาพชีวิตที่ดีนั่นเอง
จนกระทั่งในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ.1910 (พ.ศ. 2453) ความพยายามของกรรมกรสตรีกลุ่มนี้ก็ประสบผลสำเร็จ เมื่อมีตัวแทนสตรีจาก 17 ประเทศ เข้าร่วมประชุมสมัชชาสตรีสังคมนิยมครั้งที่ 2 ณ เมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก โดยในที่ประชุมได้ประกาศรับรองข้อเรียกร้องของบรรดากรรมกรสตรี ในระบบสาม 8 คือ ยอมให้ลดเวลาทำงานเหลือวันละ 8 ชั่วโมง ให้เวลาศึกษาหาความรู้เพื่อพัฒนาศักยภาพของตัวเองอีก 8 ชั่วโมง และอีก 8 ชั่วโมงเป็นเวลาพักผ่อน พร้อมกันนี้ยังได้ปรับค่าแรงของแรงงานหญิงให้เท่าเทียมกับแรงงานชาย และยังมีการคุ้มครองสวัสดิการสตรีและแรงงานเด็กอีกด้วย
ทั้งนี้ยังได้รับรองข้อเสนอของ "คลาร่า เซทคิน" ด้วยการกำหนดให้วันที่ 8 มีนาคม ของทุกปีเป็น วันสตรีสากล

[แก้]สาเหตุ

เพราะสตรีถูกเอาเปรียบกดขี่ขูดรีด ทารุณ จากนายจ้างที่เห็นผลผลิตสำคัญกว่าชีวิตคน ...

[แก้]ผลกระทบที่เกิดขึ้นทั่วโลก

วันสตรีสากล ไม่ได้เป็นเพียงวันที่กลุ่มสตรีทั่วโลกร่วมฉลองกันท่านั้น แต่เป็นวันที่องค์กรสหประชาชาติได้ร่วมเฉลิมฉลองด้วย และอีกหลายประเทศได้กำหนดให้วันดังกล่าวเป็นวันหยุดประจำชาติของตน กลุ่มสตรีจากทุกทวีปไม่ว่าจะแตกต่างกันโดยเชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรม เศรษฐกิจ หรือ การเมืองก็ตาม ได้รวมตัวกันเพื่อฉลองวันสำคัญนี้ เพื่อรำลึกถึงความเป็นมาแห่งการต่อสู้อันยาวนาน เพื่อให้ได้มาซึ่งความเสมอภาคความยุติธรรม สันติภาพและการพัฒนา
ผลจากการตัดสินใจของที่ประชุม ณ กรุงโคเปนเฮเกน ทำให้มีการจัดกิจกรรมวันสตรีสากลขึ้นเป็นครั้งแรกในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1911 ในประเทศออสเตรีย เดนมาร์ก เยอรมนี และสวิตเซอร์แลนด์ มีประชาชนทั้งหญิงชายมากกว่า 1 ล้านคน เข้าร่วมการชุมนุมเรียกร้องสิทธิในการทำงาน การเข้ารับการอบรมในวิชาชีพ และให้ยุติการแบ่งแยกในการทำงานในปีถัดมาได้มีการจัดกิจกรรมวันสตรีสากลเพิ่มขึ้นในประเทศฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และสวีเดน และในปี ค.ศ. 1913 มีการจัดชุมนุมวันสตรีสากลในรัสเซียเป็นครั้งแรก ที่นครเซนต์ปีเตอร์เบอร์ก แม้ว่าจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจขัดขวางก็ตาม วันสตรีสากลได้จัดขึ้นโดยเชิดชูคำขวัญของขบวนการสันติภาพ ทั้งนี้เพื่อต่อต้านสงครามที่กำลังคุกรุ่นอยู่ในยุโรปนับตั้งแต่ปีแรกๆ เป็นต้นมา ความสำคัญของการฉลองวันสตรีสากลได้ทวีมากขึ้น โดยมีสตรีในทวีปแอฟริกา เอเชียและละตินอเมริกา เริ่มร่วมมือกันเพื่อทบทวนความก้าวหน้าของการต่อสู้เพื่อสิทธิที่เท่าเทียมกัน และเพื่อความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งพยายามผลักดันให้มีการตระหนักในเรื่องสิทธิมนุษยชนของสตรีอย่างสมบูรณ์
ประเทศไทยในฐานะประเทศสมาชิกองค์การสหประชาชาติได้แสดงเจตนารมณ์ที่จะปฏิบัติตามพันธสัญญาต่อเวทีโลกที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับบทบาทและสถานภาพสตรีโดยได้มีการดำเนินการทั้งในแง่กฎหมาย นโยบาย มาตรการและกิจกรรมต่างๆ ในการส่งเสริมความเสมอภาคหญิงชาย คือ เจตนารมณ์ให้มีความเป็นธรรมเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชายในทุกรูปแบบ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการใช้ การควบคุมทรัพยากร เพื่อให้หลุดจากการกีดกันต่างๆ ให้สตรีได้มีโอกาสรับประโยชน์จากการพัฒนาอย่างเท่าเทียมกัน

[แก้]ความสำคัญ

วันสตรีสากล มิเพียงแค่การเฉลิมฉลองเหมือนงานประเพณีที่มักทำติดต่อกันทุกปี หากจะเป็นการตระหนักร่วมและให้คุณค่าทางประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ของผู้ใช้ แรงงานหญิง และสืบทอดเจตนารมย์ที่ต้องการให้ผู้หญิงได้รับการปกป้องคุ้มครองให้ปลอดภัย จากความรุนแรง และยกระดับคุณภาพชีวิตในด้านต่างๆ ผู้ใช้แรงงานต้องได้รับการดูแลในด้านสวัสดิการ สุขภาพความปลอดภัยในการทำงาน รวมทั้งผู้หญิงต้องได้รับการปฏิบัติอย่างให้กียรติและเท่าเทียมในฐานะที่ ผู้หญิงก็เป็นสมาชิกหนึ่งในสังคม

[แก้]

วันฮาโลวีน

                   
                   วันฮาโลวีน (ภาษาอังกฤษ ; Halloween) เป็นงานฉลองในคืนวันที่ 31 ตุลาคม ประเทศทางตะวันตก เด็กๆ จะแต่งกายเป็นภูตผีปีศาจพากันชักชวนเพื่อนฝูงออกไปงานฉลอง มีการประดับประดาแสงไฟ และที่สำคัญคือแกะสลักฟักทองเป็นโคมไฟ เรียกว่า แจ๊ก-โอ'-แลนเทิร์น (jack-o'-lantern)
การฉลองวันฮาโลวีนนิยมจัดกันในสหรัฐอเมริกา ไอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร แคนาดา และยังมีในออสเตรเลีย กับนิวซีแลนด์ด้วย รวมถึงประเทศอื่นในทวีปยุโรปก็นิยมจัดงานวันฮาโลวีนเพื่อความสนุกสนาน

[แก้]ประวัติ

วันที่ 31 ต.ค. เป็นวันที่ชาว เคลต์ (Celt) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเผ่าหนึ่งในไอร์แลนด์ ถือกันว่า เป็นวันสิ้นสุดของฤดูร้อน และวันต่อมา คือ วันที่ 1 พ.ย. เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งในวันที่ 31 ต.ค. นี่เองที่ชาวเคลต์เชื่อว่า เป็นวันที่มิติคนตาย และคนเป็นจะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน และวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตในปีที่ผ่านมาจะเที่ยวหาร่างของคนเป็นเพื่อสิงสู่ เพื่อที่จะได้มีชีวิตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เดือดร้อนถึงคนเป็น ต้องหาทุกวิถีทางที่จะไม่ให้วิญญาณมาสิงสู่ร่างตน ชาวเคลต์จึงปิดไฟทุกดวงในบ้าน ให้อากาศหนาวเย็น และไม่เป็นที่พึงปรารถนาของบรรดาผีร้าย นอกจากนี้ยังพยายามแต่งกายให้แปลกประหลาด ปลอมตัวเป็นผีร้าย และส่งเสียงดังอึกทึก เพื่อให้ผีตัวจริงตกใจหนีหายสาบสูญไป
โคมรูปฟักทอง แจ๊ก-โอ'-แลนเทิร์น
บางตำนานยังเล่าถึงขนาดว่า มีการเผา "คนที่คิดว่าถูกผีร้ายสิง" เป็นการเชือดไก่ให้ผีกลัวอีกต่างหาก แต่นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนคริสตกาล ที่ความคิดเรื่องผีสางยังฝังรากลึกในจิตใจมนุษย์ ต่อมาในศตวรรษแรกแห่งคริสตกาล ชาวโรมันรับประเพณีฮาโลวีนมาจากชาวเคลต์แต่ได้ตัดการเผาร่างคนที่ถูกผีสิงออก เปลี่ยนเป็นการเผาหุ่นแทน กาลเวลาผ่านไป ความเชื่อเรื่องผีจะสิงสูร่างมนุษย์เสื่อมถอยลงตามลำดับ ฮาโลวีนกลายเป็นเพียงพิธีการ การแต่งตัวเป็นผี แม่มด สัตว์ประหลาดตามแต่จะสร้างสรรค์กันไป ประเพณีฮาโลวีนเดินทางมาถึงอเมริกาในทศวรรษที่ 1840 โดยชาวไอริชที่อพยพมายังอเมริกา สำหรับประเพณี ทริกออร์ทรีต (Trick or Treat แปลว่า หลอกหรือเลี้ยง) นั้น เริ่มขึ้นในราวคริสต์ศตวรรษที่ 9 โดยชาวยุโรป ซึ่งถือว่า วันที่ 2 พ.ย. เป็นวัน 'All Souls' พวกเขาจะเดินร้องขอ 'ขนมสำหรับวิญญาณ' (soul cake) จากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง โดยเชื่อว่า ยิ่งให้ขนมเค้กมากเท่าไร วิญญาณของญาติผู้บริจาคก็ได้รับผลบุญ ทำให้มีโอกาสขึ้นสวรรค์ได้มากเท่านั้น
การเล่น trick or treat ตามบ้านคน
ส่วนตำนานที่เกี่ยวกับฟักทองนั้น เป็นตำนานพื้นบ้านของชาวไอริช ที่กล่าวถึง แจ๊คจอมตืด ซึ่งเป็นนักเล่นกลจอมขี้เมา วันหนึ่งเขาหลอกล่อปีศาจขึ้นไปบนต้นไม้ และเขียนกากบาทไว้ที่โคนต้นไม้ ทำให้ปีศาจลงมาไม่ได้ จากนั้นเขาได้ทำข้อตกลงกับปีศาจ 'ห้ามนำสิ่งไม่ดีมาหลอกล่อเขาอีก' แล้วเขาจะปล่อยปีศาจลงจากต้นไม้ เมื่อแจ็คตายลง เขาปฏิเสธที่จะขึ้นสวรรค์ ขณะเดียวกันปฏิเสธที่จะลงนรก ปีศาจจึงให้ถ่านที่กำลังคุแก่เขา เพื่อเอาไว้ปัดเป่าความหนาวเย็นท่ามกลางความมืดมิด และแจ็คได้นำถ่านนี้ใส่ไว้ในหัวผักกาดเทอนิพที่ถูกเจาะให้กลวง เพื่อให้ไฟลุกโชติช่วงได้นานขึ้น ชาวไอริชจึงแกะสลักหัวผักกาดเทอนิพ และใส่ไฟในด้านใน อันเป็นอีกสัญลักษณ์ของวันฮาโลวีน เพื่อระลึกถึง 'การหยุดยั้งความชั่ว' Trick or Treat เพื่อส่งผลบุญให้กับญาติผู้ล่วงลับ และพิธีทางศาสนาเพื่อทำบุญวันปีใหม่ แต่เมื่อมีการฉลองฮาโลวีนในสหรัฐอเมริกา ชาวอเมริกาพบว่า ฟักทองหาง่ายกว่าหัวผักกาดมาก จึงเปลี่ยนมาใช้ฟักทองแทน หัวผักกาดจึงกลายเป็นฟักทองด้วยเหตุผลฉะนี้
ประเพณีทริกออร์ทรีต ในสหรัฐอเมริกาคือการละเล่นอย่างหนึ่งที่เด็ก ๆ เฝ้ารอคอย ในวันฮาโลวีนตามบ้านเรือนจะตกแต่งด้วยโคมไฟฟักทองและตุ๊กตาหุ่นฟางที่เป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลประเพณีเก็บเกี่ยว (Harvest) ในช่วงเดียวกันนั้น แต่ละบ้านจะเตรียมขนมหวานที่ทำเป็นรูปเม็ดข้าวโพดสีขาวเหลืองส้มในเม็ดเดียวกัน เรียกว่า Corn Candy และขนมอื่นๆไว้เตรียมคอยท่า ส่วนเด็กๆ ในละแวกบ้านก็จะแต่งตัวแฟนซีเป็นภูตผีมาเคาะตามประตูบ้าน โดยเน้นบ้านที่มีโคมไฟฟักทองประดับ (เพราะมีความหมายโดยนัยว่าต้อนรับพวกเขา) พร้อมกับถามว่า "Trick or treat?" เจ้าของบ้านมีสิทธิที่จะตอบ treat ด้วยการยอมแพ้ มอบขนมหวานให้ภูตผี(เด็ก)เหล่านั้น ราวกับว่าช่างน่ากลัวเหลือเกิน หรือเลือกตอบ trick เพื่อท้าทายให้ภูตผีเหล่านั้นอาละวาด ซึ่งก็อาจเป็นอะไรได้ ตั้งแต่แลบลิ้นปลิ้นตาหลอกหลอน ไปจนถึงขั้นทำลายข้าวของเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วอาจจบลงด้วยการ treat เด็ก ๆ ได้ขนมในที่สุด

[แก้]