10/31/2555

เรื่องแปลกสาวสหรัฐฯป่วยแปลก! กินอาหารทุก 15 นาที เพื่อไม่ให้ตาย


เรื่องแปลกสาวสหรัฐฯ สาวป่วยแปลก

เรื่องแปลกสาวสหรัฐฯป่วยแปลก
 



            เมื่อวันที่ 16 กันยายน เว็บไซต์เดลิเมลของอังกฤษ รายงานว่า พบ หญิงสาววัย 23 ปีป่วยเป็นโรคประหลาด ต้องกินอาหารในทุก ๆ 15 นาที เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด ดังนั้นเฉลี่ยแล้ว เธอจะกินอาหาร 60 ครั้งต่อวัน แต่น้ำหนักเธอจะไม่มีวันมากไปกว่านี้แล้ว มีแต่จะลดลงอย่างรวดเร็วหากไม่กินอาหาร

            โดยเด็กหญิงคนดังกล่าว คือ นางสาวลิซซี่ เวลาสเควซ (Lizzie Velasquez) จากเมืองออสติน รัฐเทกซัส สหรัฐอเมริกา หญิงสาวผู้มีร่างกายที่ผอมมากจนเนื้อหนังติดกระดูก จนไปที่ไหนก็มีแต่คนกลัวหรือแสดงท่าทีรังเกียจเธอ โดยลิซซี่เล่าว่า ในตอนแรก ตนโดนเพื่อน ๆ ล้อจนตนเองก็รับไม่ได้ ตนหงุดหงิดมากที่หลายคนนินทาว่า ตนเป็นโรคอดอาหารเพราะอยากผอม แต่ความจริงมันไม่ใช่เลย ตนต้องทนทุกข์ทรมานกับสิ่งที่เป็นอยู่แค่ไหน ไม่มีใครรู้ แต่ที่สุดแล้วตนก็เลือกที่จะเรียนรู้และยอมรับกับอาการที่เป็นอยู่ และปรับตัวให้อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข


 
เรื่องแปลกสาวสหรัฐฯป่วยแปลก

เรื่องแปลกสาวสหรัฐฯป่วยแปลก
 


            
"ตน ต้องกินอาหารหรือขนมต่าง ๆ ทุก ๆ 15 นาที ดังนั้นใน 1 วัน ตนจะต้องกินอาหารประมาณ 60 มื้อและต้องมีอาหารหรือขนมติดตัวไปไหนมาไหนตลอดเวลา ส่วนใหญ่ของที่กินก็มีหลากหลายประเภท ลูกอม ช็อกโกแลต พิซซ่า ไก่ โดนัท ไอศครีม แต่ถึงแม้ว่า อาหารที่กินเข้าไปจะมากมายเพียงใด หรือจะมีแคลลอรี่สูงถึง 5,000-8,000 แคลลอรี่่ต่อวันสูงเท่าใด แต่มันก็ไม่ได้ช่วยทำให้ตนมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นแล้ว มันมีแต่จะลดลงถ้าตนไม่กินอาหาร หากน้ำหนักเพิ่มขึ้นซักปอนด์ ตนก็ดีใจมากแล้ว" ลิซซี่เล่าด้วยสีหน้าเศร้า

            ทั้ง นี้ ลิซซี่เป็นเด็กที่คลอดก่อนกำหนดถึง 4 อาทิตย์ โดยมีน้ำหนักเพียง 2 ปอนด์ โดยแม่ของลิซซี่บอกว่า ตั้งแต่เด็ก ลิซซี่ถูกส่งไปโรงพยาบาล แต่แพทย์ไม่สามารถระบุอาการของเธอได้ ขณะที่เคสของเธอกลายเป็นที่สนใจของแพทย์ทั่วโลก และเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาด้านพันธุกรรมการเติบโตของร่างกายที่ผิดปกติ โดยแพทย์บางรายบอกว่า ลิซซี่ อาจมีอาการ Neonatal Progeroid Syndrome ที่ทำให้เกิดอาการร่างกายแก่ตัวไว สูญเสียไขมันจากใบหน้าและร่างกาย และเนื้อเยื่อเสื่อมสภาพ ซึ่งมีผู้คนจำนวนไม่มากนักที่ป่วยมีอาการเช่นนี้ และแต่ละรายก็จะมีอาการแตกต่างกันออกไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น