7/29/2554

เรื่องแปลกๆของผู้หญิงทั่วโลก


ผู้หญิงคูเวต สาวไหนแต่งงาน จะได้เงินสดเป็นของขวัญจากกษัตริย์ เพราะว่ากษัตริย์
ของคูเวตรวยมากจนไม่รู้จะใช้ยังไง โดยจะมอบเงินให้แก่คู่สมรสใหม่ทุกคู่ด้วยเงิน 12,000
ดอลล่าร์เป็นของขวัญ

ผู้หญิงฝรั่งเศส พวกเธอลาพักร้อนได้ 5 อาทิตย์ต่อปี แถมพวกเธอยังได้ทำงานเพียง
35 ชม. ต่อ 1 อาทิตย์ เท่านั้น

ผู้หญิงบราซิล พวกเธอเห็นว่าการมีหุ่นดี สำคัญกว่าการแต่งงานและทุ่มเงินไปกับการ
ดูแลหุ่นให้สวยเนี๊ยบ

ผู้หญิงคิวบา พวกเธอมีสถิติการทำแท้งประมาณ 4 ครั้ง ก่อนอายุ 30 ประเทศนี้มี
เปอร์เซนต์การหย่าร้างมากถึง 70% แถมทีประเทศนี้มีการทำแท้งฟรีอีกด้วย

ผู้หญิงเม็กซิโก พวกเธอช็อปปิ้ง 2 ชม. ทุกครั้งที่พักกลางวัน ผู้หญิงที่นี่จะใช้ชีวิต
อย่างมีความสุข พวกเธอจะเข้าร้านเสริมสวยกันเป็นว่าเล่น ชอบการสังสรรค์

ผู้หญิงอิรัก เกือบทุกคนใช้ปืนเป็น (ไม่ได้หมายถึงปืนสั้นอันเล็กๆ แต่เป็นปืนกลขนาดใหญ่ต่างหากล่ะ)

ผู้หญิงบังคลาเทศ เธอจะถูกสาดด้วยน้ำกรด ถ้าเธอปฏิเสธผู้ชาย ในหนึ่งปีมีการแจ้ง
ความถึงการถูกสาดน้ำกรดมากถึง 180-200 ราย เมื่อพวกเธอปฏิเสธที่จะร่วมรักด้วย เขาจะ
แก้แค้นด้วยการสาดน้ำกรดเพื่อให้เธอเสียโฉม

ผู้หญิงซูดาน เด็กผู้หญิงที่นี่จะถูกขลิบอวัยวะเพศ โดยไม่ใช้ยาสลบ เป็นความเชื่อและ
ประเพณีที่น่าตกใจมาก 82% ของผู้หญิงที่นี่จะถูกขลิบตั้งแต่เด็ก แม้จะมีการออกกฎหมายห้าม
แล้วก็ตาม..(ดีแล้วทีเกิดเป็นไทย    จะได้ไม่โดนขลิบกลัว)...(-_ -*)

ผู้หญิง จอร์แดน ถูก ฆ่าจากครอบครัวตัวเองถ้าสงสัยว่ามีชู้ ทุกปีผู้หญิงจอร์แดนประมาณ 25 คน จะถูกฆ่าตายโดยพี่ชาย น้องชาย พ่อของตัวเอง เหตุผลก็เพราะว่าสงสัยว่า
เธอจะมีชู้กับชายอื่นที่ไม่ได้แต่งงาน จึงถือว่า เป็นเรื่องร้ายแรงสำหรับพวกผู้ชายในครอบครัว

ผู้หญิงในทิเบตสามารถมีสามีได้หลายคนโดยที่สามียินยอมและไม่ผิดกฏหมาย

7/23/2554

30 ความจริงบนโลกนี้ที่คุณอาจจะยังไม่รู้

เพราะ โลกใบนี้มีอะไรที่เราไม่รู้อีกเยอะแยะมากมาย ซึ่งถึงแม้ว่าหลาย ๆ คนจะมีนิสัยชอบเรียนรู้มากแค่ไหน แต่ก็ไม่มีใครรู้ไปเสียทุกอย่าง วันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยขอหยิบยกเอาเกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่คนเราอาจจะมองข้ามไปจากหนังสือ Learn Something Everyday มาฝากกัน ให้ได้อ่านกันเพลิน ๆ ว่าแล้วก็ไปติดตามพร้อม ๆ กันเลย


30 ความจริงในโลกนี้ที่คุณอาจไม่รู้
          1. การชกมวยที่ยาวนานที่สุด ชกกันถึง 110 ยก โดยใช้เวลานานถึง 7 ชั่วโมง 19 นาที


30 ความจริงในโลกนี้ที่คุณอาจไม่รู้
          2. สุนัขอายุยืนที่สุดในโลก คือ เจ้าเบลล่า จากอังกฤษ มีอายุยืนถึง 29 ปี หรือเทียบได้กับคนอายุ 203 ปี


30 ความจริงในโลกนี้ที่คุณอาจไม่รู้
          3. ถั่วลิสงเป็นส่วนประกอบสำคัญในการทำระเบิด เพราะในถั่วมีกรีเซอรีน ซึ่งเป็นสารสำคัญที่จะประกอบเป็นไนโตรกรีเซอรีนซึ่งใช้ในการทำระเบิดนั่นเอง


30 ความจริงในโลกนี้ที่คุณอาจไม่รู้
          4. ฮิปโปดุร้ายพอที่จะฆ่าคนได้เหมือนสัตว์ดุร้ายชนิดอื่น โดยเฉพาะในแอฟริกา ฮิปโปฆ่าคนได้มากกว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่นเสียอีก


30 ความจริงในโลกนี้ที่คุณอาจไม่รู้
          5. เวย์น ออลไวน์ ผู้พากษ์เสียงมิกกี้เม้าส์ แต่งงานกันจริง ๆ กับ รัสซี เทย์เลอร์ ผู้พากษ์เสียงมินนี่

30 ความจริงในโลกนี้ที่คุณอาจไม่รู้
          6. ปลาที่เคลื่อนไหวได้เชื่องช้าที่สุด คือ ม้าน้ำ


30 ความจริงในโลกนี้ที่คุณอาจไม่รู้
          7. เท้าของคนวัยผู้ใหญ่ผลิตเหงื่อวันละกว่า 1/4 ของถ้วยกาแฟ


30 ความจริงในโลกนี้ที่คุณอาจไม่รู้
          8. รถเต่าเป็นรถที่ออกแบบตามไอเดียของ อด็อฟ ฮิตเลอร์ส เมื่อปี 1933


30 ความจริงในโลกนี้ที่คุณอาจไม่รู้
          9. มนุษย์ยุคดึกดำบรรพ์มีขนาดสมองใหญ่กว่ามนุษย์ยุคปัจจุบัน


30 ความจริงในโลกนี้ที่คุณอาจไม่รู้
          10. ไส้เดือนมีหัวใจมากที่สุดถึง 9 ดวง


30 ความจริงในโลกนี้ที่คุณอาจไม่รู้
          11. ชื่อหนังสือที่ยาวที่สุดในโลก มีความยาวมากถึง 670 คำ

30 ความจริงในโลกนี้ที่คุณอาจไม่รู้
          12. ไก่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้ถึง 18 เดือน หลังจากหัวขาด น่าประหลาดและอธิบายไม่ได้


30 ความจริงในโลกนี้ที่คุณอาจไม่รู้
          13. หัวใจของคนเราเต้นไหวทั้งชีวิตประมาณ 3 พันล้านครั้งโดยเฉลี่ย

30 ความจริงในโลกนี้ที่คุณอาจไม่รู้
          14. สัตว์จำพวกกบเป็นสัตว์ที่ไม่กินน้ำ แต่รับน้ำโดยการดูดซึมผ่านผิวหนัง


30 ความจริงในโลกนี้ที่คุณอาจไม่รู้
          15. ผู้ชายมักจะถูกฟ้าผ่ามากกว่าผู้หญิง


30 ความจริงในโลกนี้ที่คุณอาจไม่รู้
          16. การยกคนน้ำหนัก 50 กิโลกรัมลอยขึ้นเหนือพื้นได้ ต้องใช้ลูกโป่งอัดฮีเลียมกว่า 4,000 ลูก


30 ความจริงในโลกนี้ที่คุณอาจไม่รู้
          17. อีกหนึ่งโรคประหลาดในโลกนี้ คือโรคกลัวหนวด หรือ Pogonophobia


30 ความจริงในโลกนี้ที่คุณอาจไม่รู้
          18. โยโย่ แรกเริ่มเดิมทีแล้วเป็นอาวุธล่าสัตว์ ใช้ขว้างเกี่ยวขาสัตว์ ก่อนจะมาประยุกต์กลายเป็นของเล่นในปัจจุบัน


30 ความจริงในโลกนี้ที่คุณอาจไม่รู้
          19. ยีราฟมีลิ้นที่ยาวมาก มันทำความสะอาดหูของมันด้วยลิ้นที่ยาวไม่ต่ำกว่า 18 นิ้ว


30 ความจริงในโลกนี้ที่คุณอาจไม่รู้
          20. คุณไม่สามารถตั้งชื่อโฟลเดอร์ว่า "Con" ในคอมพิวเตอร์ได้ เพราะคำนี้ตรงกับชื่อ Device ซึ่งจะทำให้ระบบสับสนได้


30 ความจริงในโลกนี้ที่คุณอาจไม่รู้
          21. ตาสีฟ้าเป็นตาที่ไวต่อแสงมากกว่าสีอื่น


30 ความจริงในโลกนี้ที่คุณอาจไม่รู้
          22. หนอนริบบิ้นจะกินตัวเองเพื่อประทังชีวิต ถ้ามันหาอาหารไม่ได้


30 ความจริงในโลกนี้ที่คุณอาจไม่รู้
          23. ดาวเคราะห์ทุกดวงในระบบสุริยะหมุนทวนเข็มนาฬิกาทั้งหมด ยกเว้นดาวศุกร์ที่หมุนตามเข็มนาฬิกา


30 ความจริงในโลกนี้ที่คุณอาจไม่รู้
          24. สินค้าชิ้นแรกที่มีบาร์โค้ด คือ หมากฝรั่งริกลีย์


30 ความจริงในโลกนี้ที่คุณอาจไม่รู้
          25. นินเทนโด นอกจากจะเป็นบริษัทผลิตเกมยอดฮิตแล้ว ยังเคยทำธุรกิจแท็กซี่มาแล้วด้วย

30 ความจริงในโลกนี้ที่คุณอาจไม่รู้
          26. นกฟลามิงโกเป็นสีชมพู เพราะอาหารที่พวกมันกิน นั่นก็คือ กุ้ง


30 ความจริงในโลกนี้ที่คุณอาจไม่รู้
          27. จิงโจ้เกิดใหม่ มีขนาดเล็กมาก เล็กขนาดที่ว่าพอจะอยู่บนช้อนได้อย่างสบายเลยทีเดียว


30 ความจริงในโลกนี้ที่คุณอาจไม่รู้
          28. วัวเป็นสัตว์ที่ขับเหงื่อทางจมูก


30 ความจริงในโลกนี้ที่คุณอาจไม่รู้
          29. ผู้หญิงมีอายุเฉลี่ยมากกว่าผู้ชาย


30 ความจริงในโลกนี้ที่คุณอาจไม่รู้
          30. ฌอน คอนเนอรี เป็นมิสเตอร์ยูนิเวิร์สคนที่ 3 ของโลก

หญิงท้องชาวอังกฤษ เสพติดน้ำยาเคลือบเงา


เป็น เรื่องที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ ว่าคนท้องมักจะมีความอยากแปลก ๆ บางครั้งก็อยากกินของที่ตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยลิ้มลองด้วยซ้ำ บ้างก็อยากกินอาหารแปลก ๆ แถมบางคนอยากกินของที่ไม่ใช่อาหารด้วยล่ะ อย่างว่า ที่คุณแม่ท้องรายนี้ก็เช่นกัน นางเอ็มม่า เวเนส วัย 26 ปี เกิดนิสัยประหลาด เสพติดการกินน้ำยาเคลือบเงาเฟอร์นิเจอร์ขึ้นมาซะอย่างนั้น !

          เว็บไซต์เดลิเมล ของอังกฤษ รายงานถึงความอยากประหลาด ๆ ที่ทำให้นางเอ็มม่า คุณแม่จากเมืองเบอร์มิงแฮม ถึงกับต้องกินน้ำยาเคลือบเงาวันละ 3 ครั้งเลยทีเดียว แม้จะวิตกว่าสิ่งที่เธอกินเข้าไปจะส่งกระทบต่อลูกน้อยในครรภ์ แต่เธอก็ไม่สามารถหักห้ามความอยากของตัวเองได้

          โดยนางเอ็มม่า กล่าวว่า นิสัย ประหลาดอย่างกินของที่ไม่ใช่ของกินนั้น มีมาตั้งแต่ตอนเด็ก ที่เธอเคยกินฟองสบู่ในอ่างอาบน้ำ ซึ่งนั่นก็อาจเป็นพฤติกรรมแบบเด็ก ๆ ที่สามารถเกิดขึ้นได้ แต่เมื่อโตขึ้น เธอเริ่มสังเกตตัวเองว่าชอบกลิ่นของน้ำยาทำความสะอาดเอามาก ๆ โดยเฉพาะกลิ่นของสบู่ล้างมือแบบยับยั้งแบคทีเรีย และอาการประหลาดก็เริ่มเป็นหนักขึ้นเมื่อเธอตั้งท้องดาร์ซี่ ลูกสาวคนแรก ซึ่งปัจจุบันนี้อายุ 11 เดือน นับจากนั้นเธอเริ่มหลงใหลกลิ่นของน้ำยาเคลือบเงาเฟอร์นิเจอร์เป็นครั้งแรก และมักจะแอบดมกลิ่นจากผ้าที่ใช้ชุบน้ำยาเหล่านี้เพื่อขัดเงาเฟอร์นิเจอร์ แต่เธอก็ยังไม่เคยลองกินมัน จนกระทั่งเอ็มม่าตั้งท้องลูกคนที่สอง ซึ่งมีกำหนดคลอดในเดือนตุลาคม คราวนี้อาการของเธอหนักกว่าเดิมเอาเสียมาก ๆ เมื่อเธอถึงกับกินน้ำยาเคลือบเหล่านี้จากกระป๋องเลยทีเดียว

          "ฉัน เองก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม แต่ฉันก็หยุดตัวเองไม่ได้ ความรู้สึกเวลามันเข้าไปอยู่ในปากนี่มันบอกไม่ถูกจริง ๆ บางครั้งฉันจะสเปรย์มันที่ปลายนิ้วแล้วแอบชิม หรือบางทีก็แอบเลียจากผ้าเช็ดเฟอร์นิเจอร์ด้วย" นางเอ็มม่ากล่าวถึงพฤติกรรมประหลาดของตัวเอง และเมื่อนายกาวิน วอลลิส สามีของเธอรู้ เขาทั้งหัวเสียและทั้งงุนงงไปในคราวเดียวกัน ด้วยไม่รู้สาเหตุและไม่รู้ด้วยว่าจะหยุดความอยากแปลก ๆ ของเธอนี้ได้อย่างไร




          ทั้ง เอ็มม่าและกาวินต่างกังวลว่าสิ่งที่เธอทานเข้าไป อาจส่งผลกระทบต่อลูกในท้อง เธอจึงได้ไปพบแพทย์ ซึ่งเป็นแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป และได้รับคำวินิจฉัยว่าเธอมีอาการของโรคกินของที่ไม่ใช่อาหาร หรือ พิก้า (Pica Diseases) แต่แพทย์ก็ให้คำแนะนำแค่เพียงว่าให้เธอเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน โดยเปลี่ยนมากินช็อกโกแลตแทนเมื่อรู้สึกอยากขึ้นมาอีก 
          แต่เอ็มม่ารู้ดีว่านั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่าย ๆ เพราะเวลาที่เธอรู้สึกอยากขึ้นมา สิ่งที่เธอต้องการก็คือ น้ำยาเคลือบเงาพวกนั้น ไม่ใช่ช็อกโกแลตในตู้เย็น แม้มันจะมีอยู่เป็นร้อยแท่งก็ตาม เอ็มม่ากล่าวถึงความยากลำบากของเธอในการระงับตัวเองไม่ให้เกิดอาการอยาก น้ำยาเหล่านั้นว่า เมื่อไรก็ตามที่เธอหัวว่าง ๆ ไม่ได้วุ่นวายอยู่กับการเลี้ยงดาร์ซี่ แม้จะเป็นเพียงชั่วเวลาแว่บเดียว แต่เมื่อความอยากนั้นผุดขึ้นมาในหัว มันก็ยากที่จะทำให้หายไป และความรู้สึกนี้จะอยู่รุมเร้าเธอไปอย่างนั้น จนกว่าเธอจะได้ลิ้มลองรสชาติของน้ำยาเคลือบเงาสมตามปรารถนา บางคืนเธอถึงกับตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะความรู้สึกอยาก และไม่สามารถข่มตาหลับได้อีกเลยหากเธอไม่ได้ลิ้มรสสิ่งที่เธอต้องการ

          "โรคของฉันมันทำให้ฉันรู้ซึ้งถึงความรู้สึกของคนอยากยาจริง ๆ เพราะอาการของฉันก็คงไม่แตกต่างอะไรกับพวกเขามากนัก"
เธอ กล่าว และสิ่งที่เอ็มม่าต้องการที่สุดในตอนนี้ก็คือ ใครสักคนที่สามารถช่วยเหลือและให้คำแนะนำเธอได้ แต่ก็คงเป็นไปได้ยาก เพราะคนทั่วไปไม่รู้ด้วยซ้ำว่า โรคพิก้า หรือ กินของที่ไม่ใช่ของกินนี้คืออะไร

          ตัวแทนจาก บีท (Beat) มูลนิธิการกุศลที่ตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ประสบปัญหาจากโรคพิก้า ได้ออกมากล่าวว่า
เหล่า แพทย์ควรหันมาหาความรู้และให้ความสำคัญกับโรคนี้มากกว่าเดิม เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ทุกข์ทรมานจากการกินของที่ไม่ใช่อาหาร รวมทั้งพฤติกรรมผิดปกติที่เกิดจากการกินอื่น ๆ

          โดย โรคกินของที่ไม่ใช่อาหารนี้ หรือ พิก้า นี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคอย่างแน่ชัด อย่างไรก็ตามด้วยอาการของโรคไม่ถือว่าเป็นอันตรายต่อผู้ป่วย จนกว่าผู้ป่วยจะไปกินสิ่งของซึ่งมีพิษ หรือสิ่งของอื่นที่อันตราย เช่น ของมีคม หรือโลหะที่มีสนิมขึ้น เป็นต้น  

50 อาหารที่อร่อยที่สุดในโลก

50. Buttered popcorn, United States
49. Masala dosa, India
48. Potato chips, United States
47. Seafood paella, Spain
46. Som tam, Thailand
45. Chicken rice, Singapore
44. Poutine, Canada
43. Tacos, Mexico
41. Stinky tofu, Southeast Asia
40. Marzipan, Germany
39. Ketchup, United States
38. French toast, Hong Kong
37. Chicken parm, Australia
36. Texas barbecue pork, United States
35. Chili crab, Singapore
34. Maple syrup, Canada
33. Fish ‘n’ chips, Britain
32. Ankimo, Japan
31. Parma ham, Italy
30. Goi cuon (summer roll), Vietnam
29. Ohmi-gyu beef steak, Japan
28. Pho, Vietnam
27. Montreal-style smoked meat, Canada
26. Fajitas, Mexico
25. Butter garlic crab, India
24. Champ, Ireland
23. Lasagna, Italy
22. Brownie and vanilla ice cream, global
21. Croissant, France
20. Arepas, Venezuela
19. Nam tok moo, Thailand
18. Kebab, Iran
17. Lobster, global
16. Egg tart, Hong Kong
15. Kalua pig, United States
14. Donuts, United States
13. Corn on the cob, global
12. Shepherd’s pie, Britain
11. Rendang, Indonesia
10. Chicken muamba, Gabon
09. Ice cream, United States
08. Tom yum goong, Thailand
07. Penang assam laksa, Malaysia
06. Hamburger, Germany
05. Peking duck, China
04. Sushi, Japan 
03. Chocolate, Mexico
02. Neapolitan pizza, Italy
01. Massaman curry, Thailand

7/16/2554

ค่าเฉลี่ยไอคิวเด็กไทยต่ำกว่ามาตรรฐานสากล



อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2219532#ixzz1SKhA5UiB



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

          ผลสำรวจไอคิวนักเรียนไทยทั่วประเทศ พบค่าเฉลี่ยไอคิวนักเรียนไทยต่ำกว่ามาตรฐานสากล อีสาน-ใต้ ต่ำสุด นนทบุรี ฉลาดสุด เด็กหญิงไอคิวสูงกว่าเด็กชาย


          กรมสุขภาพจิต ได้ทำการแถลง "ผลสำรวจ IQ นักเรียนไทยทั่วประเทศ" จากการสำรวจสถิติค่าเฉลี่ยไอคิวเด็กนักเรียนไทยจาก 787 โรงเรียนทั่วประเทศ ประกอบด้วย โรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)  612 โรงเรียน, โรงเรียนสังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชน (สช.) 152 โรงเรียน, โรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) 16 โรงเรียน และสังกัดกทม. 6 โรงเรียน พร้อมทั้งสำรวจจำนวนกลุ่มตัวอย่างแต่ละจังหวัดประมาณ 851-1,163 คน โดยใช้วิธีการสำรวจตามมาตรฐานสากล พบว่าค่าเฉลี่ยของไอคิวนักเรียนไทยทั่วประเทศ อยู่ที่ 98.59 ซึ่งต่ำกว่าค่ามาตรฐานสากลที่ต้องอยู่ที่ไอคิว 100

          จากการสำรวจแยกออกตามประเภทต่าง ๆ โดยแยกตามส่วนของสังกัดการศึกษาพบว่า เด็กในสังกัดอุดมศึกษาค่าเฉลี่ยไอคิวสูงสุดที่ 113.70  รองลงมาคือ สังกัดเอกชน 106.35  กทม. 101.96  และสพฐ. 97.59 เมื่อแยกตามภาคพบว่า กทม.มีค่าเฉลี่ยไอคิวสูงสุด 104.5 รองลงมาเป็นภาคกลาง 101.29 ภาคเหนือ 100.11 ภาคใต้ 96.85 และภาคอีสานต่ำที่สุด 95.99 ทั้งนี้ พบว่า เด็กหญิงมีไอคิวมากกว่าเด็กชาย

          เมื่อจัดลำดับไอคิวตามจังหวัด พบว่าจังหวัดที่มีไอคิวสูงกว่าค่ามาตรฐาน คือ มากกว่า 100 อยู่ 18 จังหวัด โดยจังหวัดที่มีค่าเฉลี่ยไอคิวสูงสุดเรียงตามลำดับ คือ นนทบุรี ระยอง ลำปาง กทม. ชลบุรี สมุทรสาคร ตราด ปทุมธานี พะเยา และประจวบคีรีขันธ์ ส่วนจังหวัดที่มีไอคิวปกติ มี 20 จังหวัด และจังหวัดที่มีไอคิวต่ำกว่าปกติ (IQ<100) 38 จังหวัด ส่วนจังหวัดที่มีไอคิวน้อยที่สุดในประเทศเรียงตามลำดับ คือ นราธิวาส ปัตตานี ร้อยเอ็ด อุบลราชธานี สกลนคร กาฬสินธุ์ กระบี่ หนองบัวลำพู กำแพงเพชร และมหาสารคาม

          เมื่อเปรียบเทียบจังหวัดนนทบุรี ที่มีค่าเฉลี่ยไอคิวสูงที่สุดในประเทศ พบว่า มีกลุ่มเด็กฉลาดมาก (iQ>130) ถึงร้อยละ 9.5 กับจังหวัดนราธิวาสที่มีค่าเฉลี่ยไอคิวต่ำที่สุดในประเทศ พบว่า ค่าเฉลี่ยไอคิวของเด็กนักเรียนจะเอียงไปทางต่ำกว่ามาตรฐาน โดยมีเด็กที่ไอคิวต่ำกว่า 70 ถึงร้อยละ 22 ซึ่งถือว่าสูงมาก

ทะเลทรายทาคามา ชิลี ที่ที่แห้งแล้งที่สุดในโลก หิมะตก!!!!


สำนักข่าวต่างประเทศ เปิดเผยรายงานว่า เกิดหิมะตกหนักที่สุดในรอบ 20 ปี ที่ ทะเลทรายอะทาคามา ทางตอนเหนือของประเทศชิลี ที่ได้ขึ้นชื่อว่าแห้งแล้งที่สุดของโลก
ซึ่ง  ทะเลทรายอะทาคามา มีพื้นที่ประมาณ 105,000 ตารางกิโลเมตร ปริมาณฝนโดยเฉลี่ยต่อปี วัดได้เพียง 1 มิลลิเมตรต่อปี และบางพื้นที่ไม่มีฝนตกเลย นับตั้งแต่ปี 1570-1971 ผลการศึกษาโดยนักวิทยาศาสตร์พบว่า ทางไหลของแม่น้ำบางสายไม่มีน้ำไหลมากว่า 120,000 ปี
ทั้งนี้เหตุการณ์หิมะตกดังกล่าว หนาถึง 80 เซนติเมตร ทำให้ถนนหลายสายใช้งานไม่ได้ รถยนต์จำนวนมากต้องติดค้างอยู่บนท้องถนน

7/09/2554

Tour de France!!!

The route

Running from Saturday July 2nd to Sunday July 24th 2011, the 98th Tour de France will be made up of 21 stages and will cover a total distance of 3,430.5 kilometres.
     
      These stages have the following profiles:
  • 10 flat stages,
  • 6 mountain stages and 4 summit finishes,
  • 3 medium mountain stages,
  • 1 individual time-trial stage (42.5 km).
  • 1 team time-trial stage (23 km).


15 new stage towns

Blaye-les-Mines, Cap Fréhel, Carhaix, Carmaux, Cugnaux, Galibier Serre-Chevalier, Limoux, Modane - Valfréjus, Mont des Alouettes Les Herbiers, Mûr-de-Bretagne, Olonne-sur-Mer, Passage du Gois La Barre-de-Monts, Pinerolo (Italie), Redon, Saint-Paul-Trois-Châteaux


7/03/2554

ที่มาของทางม้าลาย



เดิมทีแถบสีสัญลักษณ์ของทางคนข้ามนี้
เคยเป็นสีน้ำเงินและสีเหลืองมาก่อน
โดยมีการนำมาใช้อย่างเป็นทางการครั้งแรก (หลังทำการทอดลองใช้แล้ว)
ตามท้องถนนของประเทศอังกฤษราว 1,000 จุด เมื่อปี 1949 เพื่อบ่งบอกให้ผู้ใช้รถใช้ถนนทราบว่า
บริเวณดังกล่าวเป็นทางที่อนุญาตให้คนสามารถข้ามถนนได้
แต่ก่อนนั้น สัญลักษณ์ของทางข้ามนี้จะอยู่คู่กับ 'เสาโคมไฟสัญญาณบีลิสชา'
ซึ่งถือกำเนิดมาก่อนหน้านี้แล้วตั้งแต่ปี 1934 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นสัญญาณให้พาหนะ
ที่สัญจรอยู่บนท้องถนนหยุดวิ่งชั่วขณะเพื่อให้คนที่อยู่สองข้างทางได้เดินข้ามถนนอย่างปลอดภัย
โดยพาหนะต่างๆ จะหยุดก็ต่อเมื่อโคมไฟสัญญาณบีลิสชาซึ่งมีสีส้มส่องสว่างขึ้น
ต่อมา เลสลี ฮอร์น บีลิสชา รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมแดนผู้ดี ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มไอเดียนำโคมไฟสัญญาณดังกล่าวมาติดตั้ง
ก็ คิดว่าน่าจะมีการเพิ่มสัญลักษณ์ที่เป็นแถบสีบนพื้นถนนบริเวณที่มีการติดตั้ง โคมไฟสัญญาณเพื่อช่วยให้ผู้ใช้รถใช้ถนนเห็นได้เด่นชัดมากขึ้น
ด้วยเหตุนี้ สัญลักษณ์ของทางข้ามที่มีแถบสีจึงถือกำเนิดขึ้น
จากนั้นก็มีการทดลองใช้สีขาว-แดง และสีขาว-ดำ ทาเป็นสัญลักษณ์
แล้วในปี 1951 สัญลักษณ์ของทางข้ามที่เป็นแถบสีขาว-ดำ
ก็ถูกนำมาใช้คู่กับโคมไฟสัญญาณบีลิสชาอย่างเป็นทางการครั้งแรก
พร้อมกับได้รับการขนานนามว่า 'ทางม้าลาย' เนื่องจากมีลักษณะเหมือนลายของม้าลายนั่นเอง

ต่อมาอังกฤษได้นำไอเดียดังกล่าวไปใช้กับประเทศอาณานิคมของตัวเอง
เช่น สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เป็นต้น
ทางม้าลายจึงกลายเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก และกลายเป็นเครื่องหมายจราจรที่เป็นสากลไปโดยปริยาย
ทางม้าลายจึงกลายมาเป็นที่แพร่หลายทั่วโลก
และกลายเป็นเครื่องหมายจราจรที่เป็น สากลไปโดยปริยาย...ตาด้วย อิอิ

ปัจจุบันบางแห่งก็มีการตกแต่งรูปแบบให้สวยงามต่างกันออกไป..